![]()
SCGP คาด “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวของรัฐ” เทศกาลปีใหม่ หนุนผลการดำเนินงานไตรมาส4ปี2568 โตต่อเนื่อง รับ EBITDA ทั้งปี2568 พลาดเป้า 18,000 ล้านบาท เชื่อยังโตใกล้เคียงปี2567 หลังราคาขายลดลง ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ทำรายได้จากการขาย 30,438 ล้านบาท EBITDA 4,154 ล้านบาท

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตจากการเตรียมเพิ่มสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี โดยเฉพาะอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเตรียมรับการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่และเทศกาลเฉลิมฉลอง และปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น มาตรการคนละครึ่ง มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ จะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์คาดว่าจะทรงตัว ส่วนราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อเคมีละลายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่มีแนวโน้มฟื้นตัว
“ผลการดำเนินงานไตรมาส4 ปีนี้ จะดีกว่าไตรมาส4 ปี2567 ที่ติดลบ และตั้งแต่ไตรมาส1 ปีนี้เป็นมาจนถึงไตรมาส 3 ก็มีผลงานเป็นบวกต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานทั้งปี2568 ไม่น้อยหน้าปี 2567 ส่วนEBITDA ที่เคยตั้งเป้าจะอยู่ที่ 18,000ล้านบาทนั้น หากพิจารณาจากวอลุ่มการขายทั้งปีนี้ คาดว่าจะโต3% แต่ราคาขายลดลง จะกดดันให้ EBITDA ปีนี้ลดลงตามยอดขาย แต่ EBITDA ทั้งปีนี้จะไม่น้อยหน้าปี2567 ที่มี EBITDA 16,127 ล้านบาท”

ล่าสุด SCGP ได้เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งในตลาดอาเซียน โดยลงนามในสัญญาซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไขเพื่อเข้าถือหุ้นสามัญในสัดส่วน 100% ใน PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษคุณภาพชั้นนำในอินโดนีเซีย มีฐานการผลิตตั้งอยู่ที่เมือง Bekasi ทางตะวันตกของเกาะชวา ที่ใกล้กับฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ของ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. และมีฐานลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติและแบรนด์สินค้าชั้นนำในตลาดอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ มูลค่ากิจการไม่เกิน 455 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 956 ล้านบาท)
ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการเข้าซื้อกิจการ คาดปิดดีลภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 คาดว่า จะรับรู้ยอดขายอยู่ที่ 1,800 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาส Cross-selling จากฐานลูกค้ากลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในและต่างประเทศ สามารถนำเทคโนโลยีของ MYPAK มาช่วยผลักดันการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงที่ตั้งเชิงกลยุทธ์จะช่วยสร้างประสานประโยชน์ (Synergy) กับเครือข่ายธุรกิจ และเสริมศักยภาพการบูรณาการห่วงโซ่อุปทานกับธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ (Value Chain Integration) ของ SCGP ในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถการแข่งขัน และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย โดยประเมินส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจ SCGP ในอินโดนีเซียจะเพิ่มจากเดิม 7% เป็น 10%

โดยปี2568 บริษัท คาดว่าจะใช้งบลงทุนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายในการลงทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท อีก 4,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนเพื่อการปรับปรุงเช่นเรื่องของนวัตกรรม ซึ่งหลังจากได้ทำดีล M&P ในอินโดนีเซียแล้ว คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังไม่มีการปิดดีล M&P โครงการอื่นๆเพิ่มเติม แม้ว่า ปัจจุบันยังมีเจรจาอยู่หลายโครงการ โดยจะพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อนเข้าลงทุน
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ตลาดบรรจุภัณฑ์อาเซียนขยายตัวต่อเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก จากการเตรียมพร้อมสำหรับเทศกาลปลายปีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนด้านราคายังคงมีความผันผวน โดยราคาขายเฉลี่ยของกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษปรับลดลงตามแนวโน้มตลาดภูมิภาค
SCGP ได้เพิ่มศักยภาพการทำกำไรและความสามารถการแข่งขันด้วยกลยุทธ์การเติบโตภายในประเทศกลุ่มอาเซียน การวางโมเดลธุรกิจแบบครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าและสภาพตลาดที่หลากหลาย ตลอดจนการขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย ออสเตรเลีย ส่งผลให้ปริมาณการขายบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและกลุ่มธุรกิจเยื่อและกระดาษเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาเฉลี่ยยังปรับลดลงตามแนวโน้มของตลาด
นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งจัดการต้นทุนและการผลิตที่มีประสิทธิภาพ เช่น เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 38.6 นำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาปรับใช้ อีกทั้งยังเน้นการบริหารต้นทุน และบูรณาการห่วงโซ่อุปทานของโรงงานต่าง ๆ ในภูมิภาคทั้งด้านการผลิตและการใช้วัตถุดิบอย่างยืดหยุ่น (Regional Optimization)

การปรับกลยุทธ์เชิงรุกท่ามกลางความท้าทาย ทำให้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 SCGP มีรายได้จากการขายรวม 30,438 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 4% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 4,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 953 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับปีก่อนจากผลการดำเนินงานของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซียที่ดีขึ้น ขณะที่ลดลง 6% จากไตรมาสก่อนสอดคล้องกับรายได้ ส่วน EBITDA margin ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานและสาธารณูปโภคในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

