ผู้ชมทั้งหมด 3,064
กบน. รีดเงินผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ เข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มอีก 50 สตางค์ต่อลิตร ชดเชยหมดมาตรการลดภาษีฯ 1 บาทต่อลิตร สิ้นเดือน ม.ค. 2567 หลังนำเงินอุ้มราคาลดผลกระทบผู้ใช้น้ำมัน ขณะที่กองทุนฯ ติดลบกว่า 8.4 หมื่นล้านบาท
หลังสิ้นสุดมาตรการลดภาษีน้ำมันกลุ่มเบนซิน เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2567 นับจากที่ได้เริ่มใช้มาตรการลดภาษีดังกล่างตั้งแต่ 7 พ.ย. 2566 โดยได้ลดภาษีน้ำมันกลุ่มเบนซิน 0.15-1 บาทต่อลิตร ตามสัดส่วนเนื้อน้ำมันเบนซินที่ผสม ได้แก่ E10 (น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91,95 ) ภาษีจัดเก็บลดลง 90 สตางค์ต่อลิตร , น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ลดลง 80 สตางค์ต่อลิตร , E85 ลดลง 15 สตางค์ต่อลิตร และเบนซินออกเทน 95 ลดลง 1 บาทต่อลิตร จากปกติจัดเก็บภาษีอยู่ที่ 6.50 บาทต่อลิตร
แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน ระบุว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2567 มีมติใช้กลไกเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1 บาทต่อลิตร เข้าไปพยุงราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซิน โดยเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2567 กองทุนฯ ได้ใช้จังหวะราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับลดลงเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ส่งเข้ากองทุนฯ เพิ่มอีก 50 สตางค์ต่อลิตร
ทั้งนี้ส่งผลให้ปัจจุบัน กองทุนฯ เรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 อยู่ที่ 8.88 บาทต่อลิตร จากเดิมเก็บอยู่ 8.38 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์95 เรียกเก็บ 2.30 บาทต่อลิตร จากเดิมอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เรียกเก็บ 0.95 บาทต่อลิตร จากเดิมอยู่ที่ 0.45 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 0.41 บาทต่อลิตร จากเดิมอยู่ที่ 0.01 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซออล์ E85 คงจัดเก็บอัตราเดิมอยู่ที่ 0.16 บาทต่อลิตร
ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล ทางกองทุนฯ ยังคงชดเชย 4.62 บาทต่อลิตร เพื่อพยุงราคาขายปลีกไม่ใช้เกิน 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึง 31 มี.ค. 2567
สำหรับสถานกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด ณ วันที่ 28 ม.ค. 2567 พบว่า ยังคงติดลบ 84,349 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมัน ติดลบ37,875 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 46,474 ล้านบาท