ผู้ชมทั้งหมด 453
กลุ่มบางจาก ปรับยุทธศาสตร์องค์กรใหม่ วางแผน 8 (66-73) ทุ่มงบลงทุน 2 แสนล้าน ลุยลงทุนธุรกิจใหม่ มุ่งสู่ New S-Curve สร้างโรงกลั่นน้ำมันอากาศยานยั่งยืน ตั้งโรงงานแบตเตอรี่ เล็งซื้อ กิจการแหล่งผลิตปิโตรเลียมเพิ่ม พร้อมวางเป้า EBITDA 1 แสนล้านในปี 73
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าบริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทบางจากได้ปรับแผนยุทธศาสตร์องค์กรใหม่เพื่อความยั่งยืนผ่านแนวคิด 3Rs – Refocus เร่งสร้างความมั่นคงด้านพลังงานควบคู่กันกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด Restructure การปรับองค์กรเพื่อสร้างช่องทางในการเข้าถึงตลาดและลูกค้า Reimagine การใช้โอกาสและเครื่องมือในการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/11/DSC_8951-1024x683.jpg)
ทั้งนี้ภายใต้แผนยุทธศาสตร์องค์กรใหม่นั้นกลุ่มบางจากวางแผนการลงทุนในช่วง 8 ปี (2566-2573) โดยได้ตั้งงบลงทุน 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะเน้นการลงทุนธุรกิจใหม่มุ่งสู่ New S-Curve ภายใต้เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) โดยมีเป้าหมายแรกคือความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) บริษัทฯ จึงได้มีการปรับวิสัยทัศน์และพันธกิจองค์กร สู่วิสัยทัศน์ใหม่ และกำหนดยุทธศาสตร์การเติบโตจนถึงปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) สำหรับทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจที่สอดรับกับแนวทางของแผนงาน BCP 316 NET เพื่อรองรับเป้าหมายสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
แผนการลงทุนในช่วง 8 ปีของกลุ่มบางจากนั้นตั้งเป้าหมาย กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ราว 1 แสนล้านบาท ในปี 2573 เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากฐาน EBITDA ในปี 2565 คาดว่าจะมี EBITDA ระดับ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มี EBITDA สูงถึง 3.7 หมื่นล้านบาท สะท้อนให้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยรากฐานที่มั่นคง มีความยืดหยุ่นสูงจากศักยภาพในการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไปและการเติบโตจากการขยายธุรกิจในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามหากการลงทุนเป็นไปตามแผนจะส่งผลให้สัดส่วน EBITDA กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ในสัดส่วน 50% กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน 18% และกลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า 10% สัดส่วนที่เหลือ 22% เป็นกลุ่มธุรกิจการตลาด กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และธุรกิจใหม่ ขณะที่ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันมีสัดส่วน EBITDA อยู่ที่ 42% กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 36% กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า 14% กลุ่มธุรกิจการตลาด 7%
ส่วนแผนการลงทุนในปี 2566 ตั้งงบลงทุน 4.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนของ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ราว 3 หมื่นล้านบาท ลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน 6 พันล้านบาท กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อขยายการลงทุนทั้งใน OKEA ASA 5 พันล้านบาท สำหรับการลงทุนในกุล่มธุรกิจการตลาด 2 พันล้านบาท และลงทุนในธุรกิจใหม่ 1 พันล้านบาท
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/11/Refinery-1024x683.jpg)
นายธรรมรัตน์ ประยูรสุข รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน BCP กล่าวว่า บางจากมุ่งต่อยอดการเติบโตจากศักยภาพใหม่ ๆ โดยนอกจากด้านการกลั่นและการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตแล้ว บริษัทฯ ได้มุ่งเน้นในส่วนของการผลิตผลิตภัณฑ์นอกเหนือจากน้ำมันยานยนต์และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพตามความต้องการของตลาดหรือลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche Products Refinery) เช่น Unconverted Oil และเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วน EBITDA ของกลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิงนอกยานยนต์เป็นกว่า 60% ภายใน พ.ศ. 2573
อย่างไรก็ตามสำหรับการลงทุนโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1 หมื่นล้านบาท ในขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาเทคโนโลยี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2566 ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 2 ปี พร้อมเปิดเดินเครื่องและเริ่มจำหน่ายน้ำมัน SAF ได้ในปี 2568
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/11/S__107552790-1024x735.jpg)
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/11/ServiceStation-1024x683.jpg)
นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด BCP กล่าวว่า บริษัทเร่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ครบครัน เพื่อให้เป็นมากกว่าสถานที่เติมน้ำมัน โดยมุ่งมั่นเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์คนทุกวัยภายใต้แนวคิด “YOUR” Greenovative Destination for Intergeneration ผ่านการเติบโตจากธุรกิจ Non-Oil อย่าง อาหารและเครื่องดื่ม และ EV Charger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนความร่วมมือกับคู่ค้าและรายได้จากแฟรนไชส์ เพื่อขยายเครือข่ายสถานีบริการบางจาก โดยในปี 2565 มีเป้าหมายขยายเพิ่มเป็น 1,340 แห่ง ปี 2566 มีเป้าหมายขยายเพิ่มเป็น 1,410 แห่ง และในปี 2573 ด้วยเป้าหมาย 1,900 แห่ง และร้านกาแฟอินทนิล 3,000 แห่งทั่วประเทศ
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/11/re-1-1024x767.jpg)
นายบัณฑิต หรรษาไพบูลย์ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานยุทธศาสตร์และบริหารความยั่งยืนกลุ่มบางจาก กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจใหม่ บริษัทฯ มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานผ่านการขยายธุรกิจในกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ โดยในส่วนของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมนั้น มีเป้าหมายการผลิตมากกว่า 100,000 boepd (บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน) ภายในปี 2573 จากการดำเนินการแหล่งปิโตรเลียมในประเทศของนอร์เวย์ผ่านบริษัทฯ OKEA ASA ที่กลุ่มบริษัทบางจากเป็นผู้ถือหุ้นหลักในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายการลงทุนแหล่งปิโตรเลียมในกลุ่มประเทศเอเชียอีกด้วย ซึ่งการลงทุนคาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2567 เพื่อผลักดันให้ปริมาณการผลิตเป็นไปตามเป้าหมายในปี 2573 อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการดำเนินการแหล่งปิโตรเลียม OKEA ASA มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 17,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน และคาดว่าในปี 2566 กำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 22,000 – 25,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/11/DSC_9141-1024x683.jpg)
สำหรับกลุ่มธุรกิจใหม่ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วน EBITDA กว่า 7 พันล้านบาทภายในปี 2573 จากธุรกิจที่กำลังพัฒนา อาทิ Winnonie ผู้นำแพลตฟอร์มให้บริการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าพร้อมเครือข่ายสับเปลี่ยนแบตเตอรี่อัตโนมัติ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และธุรกิจ New S-Curve ใหม่ ๆ เป็นต้น
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/11/BCPG-1024x768.jpg)
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/11/S__116023405-1024x576.jpg)
นายภูวดล สุนทรวิภาต ผู้จัดการใหญ่ BCPG กล่าวว่า สำหรับงบลงทุนในปี 2566 นั้นส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โดยวางเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 3,600 GWh จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือ 1,100 GWh โดยยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มประเทศที่มีการลงทุนอยู่เดิมไม่ว่าจะเป็น สปป.ลาว เวียดนาม ไต้หวัน และมองหาโอกาสขยายลงทุนในประเทศใหม่เพิ่มเติม ส่วนในประเทศไทยที่มีการประกาศรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ปี 2565-2573 รวม 5,203 เมกะวัตต์ นั้นบริษัทฯ จะเสนอทั้งในรูปแบบการลงทุนด้วยตนเองในพื้นที่ของบางจาก และร่วมกับพันธมิตร
ส่วนเป้าหมายในปี 2573 ได้วางเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 6,800 GWh โดยมีสัดส่วนหลักจากการเติบโตในกลุ่มธุรกิจพลังงานสีเขียว ทั้งจากโครงการในประเทศอันเนื่องมาจากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่ (PDP 2022 ระหว่างปี พ.ศ. 2565-2580 หรือ ค.ศ. 2022-2037) และการเติบโตในต่างประเทศตามการเปลี่ยนผ่านพลังงานของโลกสู่พลังงานสะอาด เสริมด้วยธุรกิจที่มีศักยภาพในอนาคต เช่นธุรกิจแบตเตอรี่และการกักเก็บพลังงาน การให้บริการด้านเทคโนโลยีพลังงาน พลังงานรูปแบบใหม่และธุรกิจคาร์บอนต่ำอื่น ๆ
ขณะที่การลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่นั้นล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในต่างประเทศจำนวน 2 ราย เนื่องจากบริษัทมีสัญญารับซื้อแร่ลิเทียมประมาณ 6,000 ตันต่อปี ซึ่งจะต่อยอดเพื่อผลิตเป็นแบตเตอรี่สำหรับรถ EV โดยมีแผนจะตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ในประเทศไทยร่วมกับพันธมิตร ขนาด 0.80-1 กิกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะมีความชัดเจนด้านแผนลงทุนภายในปี 2566
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/11/BBGI-1024x684.jpg)
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/11/KTL-1-crop-1024x683.jpg)
นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI กล่าวว่า ในปี 2566 บริษัทฯ มีแผนลงทุนในด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่สำคัญประกอบด้วย ธุรกิจพัฒนาและรับจ้างผลิต ผลิตภัณฑ์ หรือ Contract Development and Manufacturing Organization (CDMO) โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรจากยุโรป 2-3 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปต้นปี 2566 ในเบื้องต้นมีกรอบวงเงินลงทุนราว 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนต่อยอดการเติบโตในกลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ อย่างเช่นเชื้อเพลิงอากาศชีวภาพแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel -SAF) สำหรับอุตสาหกรรมการบิน
อย่างไรก็ตามกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ได้กำหนดแนวทางและเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนธุรกิจหลักกว่า 70% ของ EBITDA ในปี 2573 ให้มาจากผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง โดยเน้นการรุกขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology หรือ SynBio) เพื่อนำมาออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลสุขภาพและความงามของผู้บริโภคสอดรับกับเทรนด์ของโลก เช่น good health and well–being