“บินไทย” โชว์กำไรปี 66 กว่า 2.8 หมื่นล้าน มั่นใจปี 67 รายได้โตใกล้เคียงปี 62

ผู้ชมทั้งหมด 575 

บินไทย” โชว์กำไรปี 66 กว่า 2.8 หมื่นล้าน มั่นใจปี 67 รายได้เติบโตใกล้เคียงปี 62  ส่วนการจัดหาเครื่องบินใหม่เพิ่มไม่กระทบสภาพคล่องระบุมีกระแสเงินสดในมือ 6.7 หมื่นล้าน คาดออกจากแผนฟื้นฟูกิจการกลับเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 68

เมื่อวันที่ 23 ..ที่ สำนักงานใหญ่ การบินไทย นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชนกล่าวแถลงข่าวผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2566 บริษัทการบินไทย  โดยมี นายชาญศิลป์ ตรีนุขกร ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ นายพรชัย ฐีระเวช ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการนายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายกรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ และผู้บริหารที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมว่า ผลการดำเนินงานสำหรับปี 2566 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 161,067 ล้านบาท เป็นรายได้จากกิจกรรมขนส่งผู้โดยสารที่เติบโตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 79.3% มีกำไรสุทธิ 28,123 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 12.87 บาท 

โดยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (EBIT) เป็นเงิน 40,211 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน จำนวน 32,414 ล้านบาท และมี EBITDA จากการดำเนินงานหลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าเครื่องบิน 42,875 ล้านบาท ดีกว่าประมาณการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขความสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการที่ระบุว่าบริษัทฯ ต้องมี EBITDA จากการดำเนินงานในส่วนของการบินไทยหลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าเครื่องบินไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ในรอบ 12 เดือนก่อนหน้าที่จะรายงานถึงผลสำเร็จการฟื้นฟูกิจการ

ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ติดลบจำนวน 43,142 ล้านบาท ติดลบลดลง 27,882 ล้านบาท และจากผลประกอบการที่เป็นบวก บริษัทฯ มีเงินสด รวมตั๋วเงินฝาก เงินฝากประจำ และหุ้นกู้ ที่มีระยะเวลาครบกำหนดชำระมากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือน จำนวน 67,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32,590 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจ  วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เปรียบเทียบกับ  วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทฯและบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวม 238,991 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.6% มีหนี้สินรวม 282,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ติดลบจำนวน 43,142 ล้านบาท ติดลบลดลง 27,882 ล้านบาท และจากผลประกอบการที่เป็นบวก บริษัทฯ มีเงินสด รวมตั๋วเงินฝาก เงินฝากประจำ และหุ้นกู้ ที่มีระยะเวลาครบกำหนดชำระมากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือน จำนวน 67,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32,590 ล้านบาทในปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีปริมาณการผลิต (ASK) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 40.9% และมีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้นถึง 65.4% มีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 79.7% สูงกว่าปี 2565 ที่เฉลี่ยเท่ากับ 67.9% มีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 13.76 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 52.7% มีปริมาณการผลิตด้านการขนส่งสินค้า (ADTK) สูงกว่าปีก่อน 40.9% ปริมาณการขนส่งสินค้า (RFTK) สูงกว่าปีก่อน15.4% อัตราส่วนการขนส่งสินค้า (Freight Load Factor) เฉลี่ยเท่ากับ 51.7%

สำหรับกระแสเงินสดในมือ (แคชโฟว์ขณะนี้มีสะสมสูงกว่า 6.7 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งสามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนดที่ยื่นไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการได้ โดยบริษัทฯสามารถจ่ายหนี้ในส่วนของหนี้บัตรโดยสารไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากทั้งหมดรวม 1.3 หมื่นล้านบาทเหลือประมาณ 300 – 400 ล้านบาทเท่านั้นที่ต้องจ่ายให้จบภายในวันที่ 31 มี..นี้ รวมถึงยังจะสามารถเริ่มต้นชำระหนี้ครบกำหนดในส่วนของเจ้าหนี้หุ้นกู้ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาทได้อีก ซึ่งมีหนี้ทั้งหมดที่ต้องชำระ 1.2 แสนล้านบาท โดยจะแบ่งการชำระเป็น 12 งวด ๆละหมื่นล้านบาทเริ่มชำระงวดแรกในปี 67 ทั้งนี้มั่นใจว่าจะสามารถชำระหนี้ได้ตามที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูอย่างแน่นอน

นายปิยสวัสดิ์ กฃ่าวอีกว่า คาดการณ์ว่าในปี 2567 นี้ บริษัทฯจะมีรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 (2562) เพราะภายในปีนี้จะมีเครื่องบินเข้าฝูงเพิ่มอีก 9 ลำ จาก 70 ลำเป็น 79 ลำ รวมถึงการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินใหม่ ตลอดจนการเดินทางที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันที่ยังมีราคาสูงต่อเนื่อง ประกอบกับการแข่งขันของธุรกิจการบินที่รุนแรงมากขึ้นจากการที่สายการบินนำเครื่องบินกลับเข้ามาบินเพิ่มเติมหลังจากที่จอดไว้นาน ดังนั้นจะส่งผลให้ค่าโดยสารลดลงจากปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนและยุโรปที่ยังไม่ดีเท่าที่ควร จึงอาจมีผลต่อการเดินทางของผู้โดยสารได้ ที่สำคัญอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลล่าร์สหรัฐยังมีความผันผวนอยู่มาก ซึ่งยังถือเป็นประเด็นที่ยังน่าวิตกกังวลอยู่

โดยทั่วไปยังคิดว่าผลประกอบการยังอยู่ในระดับที่ใช้ได้ ทำให้เชื่อว่าภายในปลายปีนี้บริษัทฯยังสามารถดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการได้ คือการแปลงหนี้สินเป็นทุน และยื่นไฟล์ลิ่งออกหุ้นเพิ่มทุนได้ประสบผลสำเร็จภายในปี 67 จนทำให้ทุนกลับมาเป็นบวก และในปี 68 ก็สามารถออกจากแผนฟื้นฟูได้และกลับมาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อีกครั้ง

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของการจัดหาเครื่องบินใหม่เพิ่มจำนวน 45 ลำนั้น จะไม่ส่งกระทบต่อแผนฟื้นฟูแน่นอนเพราะจากการพิจารณาสภาพคล่อง และสถานะทางการเงินของบริษัทฯอย่างละเอียด แล้วบริษัทฯสามารถซื้อด้วยเงินสดได้ เพราะการจัดหาเครื่องบินไม่ได้จ่ายทันที และเครื่องบินส่วนนี้จะทยอยเข้ามาเริ่มปี 2570 – 2573 นอกจากนี้การจัดหาเครื่องบินด้วยวิธีซื้อเงินสด ก็ไม่แปลกเพราะสายการบินตะวันออกกลางก็ซื้อด้วยเงินสด แต่คงต้องรอผลศึกษารูปแบบการจัดหาอย่างเหมาะสมก่อน ซึ่งยังมีเวลา คาดว่าจะได้สรุปในปี 2568

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวด้วยว่า ขอยืนยันว่าการจัดหาเครื่องบินดังกล่าว ไม่ได้ใช้เงินภาษีของประชาชน เพราะบริษัทฯไม่ได้รับเงินจากภาครัฐมาสนับสนุนกิจการ แม้แต่ในช่วงโควิดที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็ไม่เคยได้รับเงินจากรัฐบาลแม้แต่บาทเดียว ส่วนเงินก้อนสุดท้ายที่เคยได้รับจากรัฐบาลจำนวน 7,500 ล้านบาทก็ตั้งแต่เมื่อ 13ปีที่แล้ว ต่างจากสายการบินอื่นๆ ทั่วโลก ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนในการฟื้นฟูกิจการ โดยเฉพาะสายการบินญี่ปุ่นที่รัฐให้การช่วยเหลือเป็นเงินแสนล้านบาท ขณะที่บริษัทฯ ฟื้นด้วยตัวเองจากความร่วมมือร่วมใจของพนักงานในองค์กร

ด้านนายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การบินไทย กล่าวว่า ขอย้ำว่าการจัดหาเครื่องบินใหม่เป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่ได้ใช้เงินภาษีของประชาชน รัฐไม่มีภาระ และไม่ต้องค้ำประกัน ดังนั้นบริษัทฯอยากยืนยันว่า การจัดหาเครื่องบินไม่สร้างผลกระทบต่อประชาชน และเป็นความต้องการของบริษัทฯบนพื้นฐานธุรกิจโดยแท้ อีกทั้งบริษัทฯได้ศึกษาอย่างรอบคอบ รวมถึงกระบวนการคัดเลือกและเจรจายังที่ดีที่สุดด้วย

สำหรับการจัดหาเครื่องบินครั้งนี้ เป็นการจองสล็อตในการผลิต โดยยังไม่ได้สรุปถึงวิธีการได้มาว่าจะดำเนินการอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเช่าเช่าเพื่อดำเนินการ หรือซื้อด้วยเงินสด ซึ่งยังมีเวลาที่จะประเมิน และบริหารสภาพคล่อง แต่ยอมรับว่าวิธีการง่ายที่สุด คือการซื้อด้วยเงินสด 

ส่วนที่มาของการเลือกทำข้อตกลงจัดหาเครื่องบินในตระกูลโบอิ้ง 787 เพราะปัจจุบันการบินไทยมีอากาศยานรุ่นนี้ให้บริการอยู่ในฝูงบินแล้ว อีกทั้งตลาดทั่วโลก ปัจจุบันยังนิยมใช้อากาศยานรุ่นโบอิ้ง 787 และแอร์บัส A350 ซึ่งขณะนี้การบินไทยก็มีแอร์บัส A350 ให้บริการและกำลังจะรับมอบเพิ่ม รวมประจำฝูงบินในปีนี้ 23 ลำ ดังนั้นมองว่าการจัดหาโบอิ้ง 787 มีความเหมาะสม ตลาดทั่วโลกนิยม และยังมีความคุ้มค่า เมื่อคำนวณต้นทุนรวมทั้งค่าบำรุง และอัตราการใช้น้ำมัน 

สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปีนี้ จากการฟื้นตัวของการเดินทางทั่วโลก ทำให้การบินไทยมั่นในว่าสิ้นปีนี้แคชโฟว์จะสะสมมากกว่า 6.7 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันปริมาณผู้โดยสารในปีนี้ คาดว่าจะมีสูงถึง 15 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี13 ล้านคน โดยในตารางการบินฤดูร้อนปี 2567 จะให้บริการเที่ยวบินสู่ 61 เส้นทางบินทั่วโลก ในเส้นทางบินยุโรปออสเตรเลีย เอเชีย พร้อมเพิ่มความถี่เที่ยวบิน อาทิ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซิดนีย์  เพิ่มจุดบินใหม่ 4 เส้นทาง ได้แก่ ออสโล  มิลาน เพิร์ท และ โคจิ เพื่อรองรับการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเร่งขยายขนาดฝูงบินให้เพียงพอต่อแผนเส้นทางบิน จำนวนเที่ยวบิน และความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการหารายได้ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคตต่อไป