“บ้านปู” เปิดกลยุทธ์ “Energy Symphonics” มุ่งสู่ Net Zero ปี 2050 

ผู้ชมทั้งหมด 475 

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชนหรือ BANPU ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย และภายใต้การนำของผู้บริหารรุ่นใหม่ ได้ประกาศกลยุทธ์ใหม่ “Energy Symphonics” หรือเอเนอร์จี ซิมโฟนิกส์” เน้นการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน เดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง 5 ปีอัดงบลงทุน 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เน้นลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ทั้งพลังงานหมุนเวียน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน เดินหน้าเพิ่มสัดส่วน EBITDA พลังงานสะอาดมากกว่า 50% ในปี 2030 และเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU เปิดเผยถึงกลยุทธ์ Energy Symphonics ว่า เป็นการสื่อถึงแนวทางผสานพลังงานที่หลากหลาย เพื่อสร้างโซลูชันพลังงานใหม่และขับเคลื่อนธุรกิจสู่ปี 2030 ที่เน้นการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน ตอบสนองต่อความต้องการพลังงานของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมไปกับการดูแลโลก กลุ่มบ้านปูมีความมุ่งมั่นที่จะแก้โจทย์ความท้าทายด้านพลังงานและสร้างมาตรฐานใหม่ เพื่อพลังงานที่มีใช้อย่างต่อเนื่อง ราคาสมเหตุสมผล มีความยั่งยืน

สำหรับกลยุทธ์ใหม่ของกลุ่มบ้านปูสะท้อนความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นที่ 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ ความมั่นคงทางพลังงาน คือ การจัดหาพลังงานที่เชื่อถือได้และต่อเนื่อง ความเสมอภาคด้านพลังงาน คือ การจัดหาพลังงานที่มีราคาสมเหตุสมผล ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และความยั่งยืนด้านพลังงาน คือ การจัดหาพลังงานที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ขณะเดียวกันภายใต้กลยุทธ์ใหม่ของบ้านปูเน้นรักษาสมดุลและตอบสามโจทย์ของพลังงาน (Energy Trilemma) ได้แก่ การส่งมอบพลังงานที่เชื่อถือได้และต่อเนื่อง (Energy Security) การจัดหาพลังงานที่มีราคาสมเหตุสมผลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (Energy Equity) และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการจัดหาพลังงาน (Energy Sustainability) โดยกลยุทธ์ใหม่มี 4 ภารกิจสำคัญ ดังนี้

1.เดินเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 และการลดคาร์บอน ตั้งเป้าหมายบรรลุ Net Zero ภายในปี 2050 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่น้อยกว่า 20% และลดสัดส่วน EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา) ที่มาจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับถ่านหินให้ต่ำกว่า 50% ภายในปี 2030

2.ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Sequestration CCUS) มุ่งเน้นการเติบโตด้วย ‘แนวทางสู่ความสำเร็จ’ ที่ผสานธุรกิจก๊าซธรรมชาติระดับต้นน้ำ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจ CCUS เพื่อส่งมอบโซลูชันก๊าซธรรมชาติคาร์บอนต่ำในสหรัฐอเมริกาพร้อมทั้งสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

3.ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) เร่งขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและภูมิภาคอื่น ๆ โดยลงทุนในระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) ธุรกิจปลายน้ำที่เกี่ยวข้อง และธุรกิจคาร์บอนเครดิต เพื่อสร้างความต่อเนื่องให้กับพลังงานหมุนเวียน พร้อมทั้งเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ

4.พัฒนาธุรกิจเหมืองแร่ยุคใหม่ ดำเนินกลยุทธ์การทำเหมืองอัจฉริยะ โดยการผสานการใช้โซลูชันอัจฉริยะและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกระบวนการทำเหมือง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการลงทุนในแร่แห่งอนาคตที่สำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน 

ผลประกอบการในไตรมาส 3/67 มีความคืบหน้าทางธุรกิจที่สำคัญ 

นายสินนท์ กล่าวว่า การดำเนินงานของบ้านปูในช่วงไตรมาส 3/2567 ประสบความสำเร็จในการนำ BKV เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange : NYSE) การเสนอขาย จำนวน 15,000,000 หุ้นที่ราคา 18 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น สามารถระดมทุนได้ถึง 270 ล้านเหรียญสหรัฐ สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจที่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา โดยบ้านปูยังคงถือหุ้นใหญ่ใน BKV 

บริษัทร่วมทุนระหว่าง BKV Corporation และ Banpu Power (BPP) ภายใต้ชื่อ BKV-BPP Power JV สามารถรองรับการเติบโตของความต้องการพลังงานไฟฟ้าและ Data Center พร้อมโอกาสทางธุรกิจจากตลาดพลังงานในสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3/2567 บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด หนึ่งในบริษัทเรือธงของกลุ่มบ้านปูได้ขยายการลงทุนในญี่ปุ่น โดยเข้าลงทุนในบริษัทแอมป์ จำกัด (แอมป์ เจแปน) บริษัทชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงการนำออกสู่ตลาด ด้วยงบลงทุน 35 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม 800 เมกะวัตต์ สู่เป้าหมายกำลังผลิตรวมจำนวน 2 กิกะวัตต์ ภายในทศวรรษนี้ ส่วนการลงทุนแบตเตอรี่ฟาร์ม Iwate Tono ใกล้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะนี้กำลังติดตั้งอุปกรณ์แรงดันไฟฟ้าสูงและสถานีไฟฟ้าย่อยในเฟส 2 คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในไตรมาสที่ 2/2025 

ด้านผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 นี้ บ้านปูมีรายได้จากการขายรวม 1,339 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 46,597 ล้านบาท) มี EBITDA รวม 379 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 13,204 ล้านบาท) และขาดทุนสุทธิจำนวน 24 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 830 ล้านบาท) จากราคาตลาดของถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง และการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยน จากการแข็งค่าของเงินสกุลบาทต่อเงินสกุลเหรียญสหรัฐ 

“ไม่ว่าเราจะต้องประสบกับความท้าทายของตลาดพลังงานที่ผันผวน บ้านปูเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ Energy Symphonics จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ สร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้น ในขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงการดูแลโลกใบนี้” นายสินนท์ กล่าว

นายสินนท์ กล่าวถึงแผนการลงทุนว่า กลุ่มบ้านปูเตรียมงบลงทุนไว้ราว 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการลงทุนในช่วง 6 ปี (2025-2030) นั้นแบ่งเป็นการลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Sequestration : CCUS) ในสัดส่วน 60% ซึ่งการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาตินั้นจะช่วยสร้างกระแสเงินสดของกลุ่มบ้านปูเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ส่วนที่เหลือ 40% จะใช้สำหรับลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด การขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ธุรกิจเหมืองแร่ยุคใหม่ การลงทุนในธุรกิจคาร์บอนเครดิต โดยยังคงเน้นลงทุนในประเทศที่กลุ่มบ้านปูมีฐานการลงทุนอยู่เดิม แต่จะไม่มีการลงทุนในธุรกิจเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหินอีกต่อไป โดยการขยายการลงทุนในช่วง 6 ปีนั้นกลุ่มบ้านปูวางเป้าหมายมี EBITDA เพิ่มขึ้นอีก 1.5 เท่าในปี 2030 จากฐาน EBITDA ปี ค.ศ. 2023 ที่ 1,562 ล้านเหรียญสหรัฐ