“พลังงาน” เตรียมเปิดยื่นเสนอโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เฟส2 ปี66 รับซื้อ 400 MW

ผู้ชมทั้งหมด 1,456 

“พลังงาน” ผนึก “ก.เกษตรฯ-ก.ทรัพยฯ” ปั้นโมเดลโรงไฟฟ้าชุมชน เฟส 2 ตั้งเป้ารับซื้อไฟฟ้า 400 เมกะวัตต์ เตรียมเปิดให้ยื่นเสนอโครงการต้นปี 66 ยันปรับรูปแบบโครงการใหม่ทั้งหมด ยึดประโยชน์เกษตกรและประเทศเป็นที่ตั้ง คาดสิ้นปีนี้ เปิดเผยรายละเอียดโครงการได้

นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า  แผนการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ในปี 2565 นั้น ทางกระทรวงพลังงาน ได้เตรียมความพร้อมจัดทำโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เฟสที่ 2 ตั้งเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าเข้าระบบ จำนวน 400 เมกะวัตต์ โดย กระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างประสานความร่วมมือกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อกำหนดปริมาณ และ Zoning ให้สอดคล้องกับศักยภาพ เป้าหมาย และนโยบายการจัดสรรพื้นที่ทางการเกษตร พร้อมกำหนดพื้นที่เหมาะสมเพื่อปลูกพืชพลังงาน และกำหนดพื้นที่ที่มีความต้องการไฟฟ้า(ไฟตก/ไฟดับ/เสริมความมั่นคง) เพื่อลดการสูญเสียในระบบส่ง และไม่เป็นภาระกับระบบโครงข่ายพลังงาน

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ในการเพิ่มมูลค่าพืชพลังงาน โดยจะหาแนวทางการนำผลผลิตของการปลูกพืชพลังงานไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนแผนการดำเนินงานโรงไฟฟ้าชุมชน ในเฟสที่ 2

ปัจจุบัน กระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างวิเคราะห์ประเมินผลโครงการนำร่อง รับซื้อไฟฟ้าเข้าระบบ 150 เมกะวัตต์แรก เพื่อนำมาวิเคราะห์ความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการขยายผลในระยะที่ 2 พร้อมกำหนดรูปแบบเป้าหมายการดำเนินโครงการ ได้แก่ กำหนดพื้นที่ จัดหาเทคโนโลยี ส่งเสริมการแปรรูปจัดเตรียมเชื้อเพลิง การสร้างรายได้จากการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ประเมินต้นทุน กำหนดราคารับซื้อเชื้อเพลิง ตลอดจนกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าและโมเดลทางธุรกิจที่เหมาะสม คาดว่า ปลายปี 2565 จะสามารถเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนของโครงการใน เฟสที่ 2 ได้

โรงไฟฟ้าชุมชน เฟสที่ 2 จะสามารถเปิดรับซื้อไฟฟ้า หรือยื่นข้อเสนอโครงการฯได้ ในช่วงต้นปี 2566 ปริมาณ 400 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นโมเดลใหม่ที่แตกต่างจากกติกาหรือหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน เฟส1 เพราะโครงการรอบใหม่ เป็นความร่วมมือกับอีก 2 กระทรวงที่เน้นประโยชน์ให้กับเกษตรกร และประเทศอย่างแท้จริง”