ผู้ชมทั้งหมด 1,162
“รัฐ-เอกชน” ร่วมเสวนาถกทางออกรับมือจัดเก็บภาษีคาร์บอน ด้านกรมสรรพสามิต ลั่นเตรียมจัดเก็บภาษีโรงไฟฟ้าใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ขณะที่ เอกชน ขอรัฐชัดเจนนโยบาย เร่งปลดล็อกระเบียนเปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้า เพิ่มทางเลือกใช้พลังงานสะอาด หวั่นกระทบค่าไฟ และถูกตั้งกำแพงกีดกันส่งออกสินค้า
“สภาวะโลกร้อน” กลายเป็นประเด็นที่หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเพื่อลดการอุณหภูมิของโลกไม่ให้ปรับขึ้นเกิน 1.5 องศา ตามข้อตกลงผู้นำ COP 26 ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ทำให้การหยิบยกเรื่อง กลไกด้านราคาคาร์บอน กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อกดดันให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ จะต้องให้ความร่วมมือในการลดการปลดปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/08/Screenshot-2022-08-17-111300-1024x548.png)
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) และกรมสรรพสามิต จึงได้งานเสวนาออนไลน์ หัวข้อ “ภาษีคาร์บอน ใครต้องจ่าย จ่ายเมื่อไหร่” เพื่อสอบถามความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนนำข้อมูลไปสู่การพิจารณาจัดเก็บภาษีคาร์บอนของภาครัฐต่อไป โดยมีวิทยากรเข้าร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ประกอบด้วย ดร.สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานคณะทำงาน กกร. ด้านพลังงาน นายนที สิทธิประศาสน์ รองประธานกลุ่มพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสุวัฒน์ กมลพนัส รองประธานคณะทำงานพลังงาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต กรมสรรพสามิต
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/08/S__142721113-1024x760.jpg)
ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันภาคผลิต เช่น โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และภาคบริการ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ถือเป็นภาคที่สร้างคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด ขณะที่สภาวะโลกร้อน ที่นำไปสู่การเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศของโลก ส่งผลให้ภาคการเงิน หรือ สถาบันการเงินต่างๆ เริ่มนำประเด็นดังกล่าวเข้ามาเป็นกลไกกดดันให้ผู้ประกอบการต้องให้ความร่วมมือในการลดการปล่อยคาร์บอน แม้ว่า รัฐบาลไทยจะมีเป้าหมาย Carbon Neutral ในปี 2050 หรือจะมีเวลาดำเนินการใน 28 ปีข้างหน้า แต่ภาคเอกชนไม่สามารถรอได้ เพราะจะถูกกดดันจากต่างประเทศที่มีมาตรการออกมาบังคับ เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสภาพยุโรป(CBAM) ที่จะมีผลบังคับใช้ปี 2569 กับสินค้าอุตสาหกรรม 5 รายการ ได้แก่ ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า ปุ๋ย อะลูมิเนียม และการผลิตพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะกลายเป็นข้อกีดกันการส่งออกของไทย
“วันนี้ รัฐกับเอกชนยังมองต่างมุม รัฐมองข้างหน้ายังมีเวลาอีก 28 ปีค่อยทำ แต่เอกชน มองเป็นเวลานับถอยหลัง และภาษีคาร์บอน ถามว่าใครต้องจ่าย คำตอบคือ จ่ายทุกคนแต่ใครจ่ายตรงและจ่ายอ้อมเท่านั้น”
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/08/S__142721116-1024x761.jpg)
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือ วันนี้ภาคอุตสาหกรรมจะต้องดำเนินการใช้ 6 ขั้นตอนก่อนนำไปสู่เรื่องของ “กรีนคาร์บอน” ประกอบด้วย
- Design Passive & Active Design เริ่มตั้งแต่การออกแบบอาคาร (ศูนย์การค้า สำนักงาน โรงงาน และอื่นๆ) สายการผลิต ให้ได้มาตรฐาน อาคารเขียว TREES,LEED
- Energy Efficiency ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานทั้งสายการผลิต เครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และSME จะต้องลงทุน
- Renewable Energy (RE) หันมาใช้เชื้อเพลิงพลังงานที่เป็นการลดปล่อยคาร์บอน โดยการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน
- 3R+1W+1C ได้แก่ เรื่องของ Reduce ลดการใช้, Reuse ใช้ซ้ำ, Recycle รีไซเคิล, Waste Management การจัดการของเสีย และ Carbon Capture การดักจับคาร์บอน
- Carbon Credit Certificate คำนวณการใช้พลังงานที่ลดลง หรือ ประหยัดได้เพื่อประเมินผลการลด Greenhouse Gas เพื่อออกใบรับรอง Carbon Credit
- Carbon Credit/RE Platform ทำเรื่องตลาดกลางซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนกรีนคาร์บอน และพลังงานสะอาด
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/08/S__142721111-1024x570.jpg)
นายสุวัฒน์ ระบุว่า ภาษีคาร์บอน คือ กลไกที่ทำให้การปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ ต้องมีต้นทุนสูงขึ้น โดยรวมเรียก Carbon Price Instruments(CPIs) หรือ กลไกราคาคาร์บอน ซึ่งการเก็บภาษีคาร์บอนก็ถือเป็น CPIs ประเภทหนึ่งในหลายไประเภท และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่า โลกกำลังร้อนขึ้นจากการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ ดังนั้น จึงต้องลดการปล่อยคาร์บอนโดยทำให้การปล่อยคาร์บอนมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น โดยประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกได้ออกระเบียบเกี่ยวกับ CPIs ขึ้นมาใช้ ขณะเดียวกัน ประเทศพัฒนาแล้วมองว่า การลดคาร์บอน เป็นเรื่องของทุกประเทศที่ต้องช่วยกัน และได้ออกมาตรการกีดกันการค้ากับประเทศที่ไม่มีมาตรฐานด้านภาษีคาร์บอน เช่น CBAM ที่จะเริ่มปรับราคากับสินค้าอุตสาหกรรม 5 รายการในปี 2569 แม้ว่าเบื้องต้นสินค้า 5 รายการดังกล่าวจะได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกประมาณ 0.05% ของการส่งออกไทย แต่ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเพิ่มรายการสินค้าและครอบคลุมมากขึ้น เช่น เยื่อกระดาษ และเม็ดพลาสติก ที่จะเจาลึกลงไปถึงต้นทางการผลิตสินค้าที่ต้องมาจากพลังงานสะอาด ซึ่งในต้นปีนี้ ทางสหภาพยุโรป(EU) ได้ร่างกฎหมายตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานด้านความยั่งยืนของสหภาพยุโรป เพื่อเตรียมบังคับใช้กับบริษัทใหญ่ที่ทำธุรกิจกับ EU ต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทาน และข้อกฎหมายนี้ แม้จะระบุว่า บังคับใช้กับบริษัทใหญ่ แต่สุดท้าย SME ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะSMEก็เป็นหนึ่งในห่วงโซอุปทานของบริษัทใหญ่ และกฎหมายนี้กำลังจะออกมาในเร็วๆนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบเร็วขึ้น ไม่ใช่ปี ค.ศ.2050 ตามที่รัฐบาลไทยตั้งเป้าหมายที่จะดำเนินการ Carbon Neutral ในปี 2050 หากปล่อยถึงเวลานั้นคงรับมือไม่ทัน อีกทั้งประเทศไทย ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 20 จากจำนวน 20 ประเทศทั่วโลกที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด จึงทำให้ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ต่างประเทศจับตามอง
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/08/S__142721115-1024x592.jpg)
ส่วนภาษีคาร์บอน ควรจัดเก็บเท่าไหร่นั้น ปัจจุบันทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอน โดยราคาที่แต่ละประเทศแตกต่างกันตั้งแต่ 1-135 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอน ในขณะที่ประเทศไทยไม่มีการกำหนด แต่ราคาคาร์บอนเครดิตที่ซื้อขายกันจริงอยู่ระหว่าง 1-5 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอน ขณะที่ IMF และ Word bank ประเมินว่าไว้ว่าควรอยู่ที่ราคา 50-100 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอน
อย่างไรก็ตาม กลไกด้านราคาคาร์บอน(CPIs) ปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ได้แก่ Carbon Offset เป็นตลาดเกิดจากภาคสมัครใจ เช่น พวกคาร์บอนเครดิต, Car and Trade กลไกการซื้อขายสิทธิการปล่อยคาร์บอนเครดิต และ Carbon Tax ก็คือการเก็บภาษีสรรพสามิต เป็นต้น
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/08/S__142721112-1024x576.jpg)
นายนที กล่าวว่า ประเทศไทยหนีไม่พ้นเรื่องของภาษีคาร์บอน ทางกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ส.อ.ท.จึงได้จัดตั้งสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (FTI-CCI) เพื่อผลักดันส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% หรือ RE 100 และวันนี้สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการเห็นคือนโยบายของกระทรวงพลังงาน ที่ประกาศจะผลักดันเรื่องของพลังงานสะอาด ออกมานานแล้ว ภายใต้แผน 4D คือ 1.Decarbonization 2. Decentralization 3. Digitalization และ4. De-Regulation ที่ถือเป็นมาตรการที่ดี แต่ประเด็นคือจะเริ่มดำเนินการเมื่อไหร่
“ตอนนี้ เรารอ De-Regulation เป็นหัวใจสำคัญ ถ้าไม่แก้กฎระเบียบเปิดให้การซื้อขายไฟฟ้าเสรี กลไกต่างๆก็จะเดินไปต่อไม่ได้ เพราะวันนี้โครงสร้างไฟฟ้าไทยยังเป็นลักษณะผู้ซื้อไฟฟ้ารายเดียว (Single buyer) ทำให้ผู้ประกอบการยังไม่สามารถเลือกซื้อไฟฟ้าจาก RE 100 ได้เต็มที่ ฉะนั้น หากจะมีการเก็บภาษีคาร์บอนกับโรงไฟฟ้าในอนาคตก็อาจจะเป็นการเพิ่มต้นทุนค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน และถึงเวลานั้น หากไม่ De-Regulation แล้วผู้ใช้ไฟจะมีทางเลือกไหม ถ้าอยากจะใช้ RE ที่ไม่มีภาษี”
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/08/S__142721114-1024x770.jpg)
อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.ได้เตรียมทางเลือกให้กับผู้ประกอบการที่จะถูกกดดันการส่งออกใน 3-4 ปีข้างหน้า โดยการทำเรื่องของ Digital Trading Platform พัฒนาระบบบล็อกเชนขึ้นมาใช้เป็นตลาดให้สินค้าที่หลากหลายขึ้นมาใช้ ซึ่งสินค้าก็จะมีหลายประเภท เช่น คาร์บอนเครดิต , T-VER และ RECs เป็นต้น ก็จะเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ประกอบการมากขึ้น มีความโปร่งใสด้านราคามากขึ้น ซึ่งก็กำลังพัฒนาขึ้นมาตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและภาคอื่นๆด้วย และโดยเฉพาะภาคการส่งออก
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2022/08/S__142721110-1024x579.jpg)
นายณัฐกร กล่าวว่า กรมสรรพสามิต ได้เริ่มจัดเก็บภาษีคาร์บอนกับจากโครงสร้างภาษีรถยนต์ และพัฒนาไปสู่การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ รวมถึงเชื้อเพลิงฟอสซิลควรมีการจัดเก็บภาษีด้วย เช่น ถ่านหิน และ NGV เป็นต้น ดังนั้นหากมีจัดเก็บภาษีแล้ว โรงงานผลิตไฟฟ้าจะต้องปรับตัวนำเรื่องของพลังงานสะอาดมาใช้ผลิตไฟฟ้ามากขึ้น อันนี้เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนภาษีคาร์บอนในอนาคต
ขณะเดียวกันจะต้องคำนึงถึงการจัดเก็บภาษีในต่างประเทศว่ามีบทบาทอย่างไรบ้าง เช่น ภาษี CBAM ที่ EU จะเริ่มใช้กับสินค้า 5 รายการในปี 2569 ฉะนั้น หากกรมสรรพสามิตมีการจัดเก็บภาษีแล้ว ก็จะไม่มีการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนอีก และรัฐก็จะมีรายได้มาพัฒนามาลดต้นทุนปล่อยคาร์บอนในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ตามเป้าหมายของภาครัฐ ที่กำหนดเรื่อง Carbon Neutral ในปี 2050 จำเป็นต้องนำมาตรการทางภาษีหลายตัวมาใช้ เช่น CBAM การปล่อยก๊าซคาร์บอนฯในเรื่องของเชื้อเพลิง และการสนับสนุนเรื่องของพลังงานสะอาด ก็จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะนำมาใช้ และในปี 2065 ที่กำหนดเป้าหมาย ZERO CARBON ก็จะเป็นอีกมาตรการที่ก็ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ในการนำพลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียนมาใช้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งเชื่อว่า ถ้ามาตรการภาษีออกมาจะทำให้ต้นทุนการใช้พลังงานเหล่านี้ถูกลง ขณะที่ถ้าใช้ฟอสซิลก็จะมีภาษีแพงขึ้น
“เราจะใช้เวลาปรับตัวก่อนจัดเก็บภาษี 3-5 ปี และวันนี้กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะโดนก่อน ก็คือที่ปล่อยคาร์บอนมาก เช่น โรงงานไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ส่วนภาคการขนส่ง ที่ทำเรื่องของภาษีไปแล้ว เช่น ปี2569 รถสันดาปภายในจะมีอัตราภาษีที่แพงขึ้น ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า(อีวี)จะได้รับการยกเว้นภาษี และภาคครัวเรือนจะทำเป็นอันดับสุดท้าย ซึ่ง ภาษีคาร์บอนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วันนี้กำลังดูว่า จะทำอย่างไรให้โปร่งใสเป็นธรรม และเพิ่มขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมในประเทศได้”
ทั้งนี้ เชื่อว่า การจัดเก็บ ภาษีคาร์บอน จะเป็นทางเลือกใหม่ที่ทำให้อุตสาหกรรมมีขีดแข่งขันมากขึ้น และการปล่อยมลพิษก็จะน้อยลง