ผู้ชมทั้งหมด 139
“กกพ.” เผยความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังไม่กระทบการจัดหา LNG พร้อมเตรียม 3 แผนรับมือหากปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพิ่มจัดหาก๊าซฯจากอ่าวไทย-แหล่ง JDA และเมียนมา รวมถึงจัดหา Spot LNG ส่วนเพิ่มจาก Supplier เล็งสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมัน หากราคาLNG พุ่ง

ดร. พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 22/2568 (ครั้งที่ 964) วันที่ 25 มิถุนายน 2568 ได้พิจารณาสถานการณ์การจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ในช่วงระหว่างวันที่ 13 – 24 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากได้ส่งผลกระทบทำให้ราคาน้ำมันและ LNG ในตลาดโลกเกิดความผันผวนเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงแนวทางการบริหารความเสี่ยงในการจัดหาก๊าซ และ LNG เพื่อให้สามารถจัดหาเชื้อเพลิงให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ก๊าซในภาคไฟฟ้าและอุตสาหกรรมของประเทศ
โดยปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดหา LNG ทั้งในรูปแบบสัญญาแบบระยะยาว (Term) และ สัญญาแบบรายเที่ยวเรือ (Spot) รวมประมาณ 12 ล้านตันต่อปี โดยในส่วนของสัญญา Term นั้น มีการจัดหาสัญญาระยะยาวจากประเทศกาตาร์ ปริมาณ 2 ล้านตันต่อปี ซึ่งเมื่อพิจารณาในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะต้องมีการส่งมอบ LNG จากประเทศกาตาร์ รวมทั้งสิ้น 11 ลำเรือ ซึ่งต้องแล่นผ่านช่องแคบฮอร์มุซ โดยช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญต่อการจัดส่งพลังงานของโลก เนื่องจากมีปริมาณ LNG ที่ต้องผ่านพื้นที่ดังกล่าวจากประเทศกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวม 83 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 20% ของอุปทานก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG supply) ของโลก รวมถึงเป็นช่องทางการค้าน้ำมันมากถึง 30% ของปริมาณการค้าน้ำมันทั่วโลก ในด้านราคา Spot LNG มีความผันผวนสูง โดยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจาก 13.444 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ($/MMBTU) ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2568 เป็น 14.815 $/MMBTU ในวันที่ 23 มิถุนายน 2568 หรือเพิ่มขึ้นราว 10% ในช่วงที่มีการตอบโต้ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน อย่างไรก็ตามราคาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวแบบรายเที่ยวเรือ (Spot LNG) มีการปรับลดลงในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ลงมาอยู่ที่ 13.211 $/MMBTU หรือลดลงราว 10.8% ภายในหนึ่งวันหลังจากที่มีรายงานเกี่ยวกับการยุติความขัดแย้งชั่วคราวในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะนี้ สำนักงาน กกพ. ได้มีการติดตามสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางและการส่งมอบ LNG ของ Shipper ทุกรายอย่างใกล้ชิด โดย กกพ. ได้ให้ Shipper ทุกรายในกลุ่ม Regulated Market รายงานข้อมูลสถานการณ์ส่งมอบ LNG รวมถึงแผนการส่งมอบ LNG โดยเฉพาะ LNG Supply ที่มาจากประเทศกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สรุปได้ว่า Shipper ทุกรายมีการติดตามสถานการณ์ร่วมกับผู้ขาย อย่างใกล้ชิด และในปัจจุบันยังไม่มีผลกระทบต่อการส่งมอบ LNG แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม กกพ. ได้มีการหารือแนวทางรองรับกรณีที่มีการปิดช่องแคบฮอร์มุซและไม่สามารถรับ LNG จากประเทศกาตาร์ไว้ดังนี้
(1) เพิ่มการจัดหาก๊าซธรรมขาติทางท่อจากอ่าวไทย รวมถึงแหล่ง JDA และเมียนมา โดยเพิ่มการเรียกรับก๊าซ การบริหาร จัดการปริมาณก๊าซส่วนเพิ่มตามความยืดหยุ่นของสัญญา (Swing Gas) ให้เต็มศักยภาพ
(2) จัดหา Spot LNG ส่วนเพิ่มจาก Supplier โดยขอให้ Shipper ทุกรายไปหารือคู่ค้า LNG ของตนเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับเหตุฉุกเฉิน
และ (3) ในกรณีที่ไม่สามารถจัดหา Spot LNG เพิ่มเติมได้เพียงพอ หรือ กรณีที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าด้วย Spot LNG สูงกว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมัน ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า อาจมีการพิจารณาสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมัน จึงขอให้ ปตท. ตรวจสอบศักยภาพในการจัดส่งน้ำมันและปริมาณความต้องการน้ำมันของโรงไฟฟ้าที่เป็นคู่สัญญาควบคู่ไปด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลวคงคลัง (LNG Inventory) ของประเทศอยู่ในระดับสูง และแผนการส่งมอบ LNG จาก Shipper ทุกรายพบว่ายังไม่มีผลกระทบ แต่อย่างไรก็ตาม กกพ. ก็จะเฝ้าติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการรองรับความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพพลังงานของประเทศ