![]()
กพช.อนุมัติหลักการ “โซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์” รับซื้อไฟฟ้าอัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย ระยะเวลา 25 ปี คาดประกาศหลักเกณฑ์ฯ พ.ย.นี้ พร้อมขอความร่วมมือเอกชน ลดค่าไฟ “โซลาร์บิ๊กล็อต” ลงอีก 1 สตางค์ หลังเคาะอัตรารับซื้อ 2.1679 บาทต่อหน่วย ขณะที่อนุมัติกรอบวงเงิน กองทุนอนุรักษ์ฯ 3 ปี อยูที่ 15,000 ล้านบาท

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานแทนนายกรัฐมนตรี วันที่ 27 ตุลาคม 2568 ได้มีการพิจารณาวาระสำคัญด้านพลังงาน 7 เรื่อง ดังนี้
โดยที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบกรอบหลักการเบื้องต้นของการดำเนิน “โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน” (Community-based Solar Power Generation Project) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน โดยมีเป้าหมายในการผลักดันและขับเคลื่อนโครงการไฟฟ้าชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระดับท้องถิ่น และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชนทั่วประเทศ โดยรูปแบบโครงการจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวมกำลังการผลิตไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์ โดยการกำหนดขนาดและพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการจะพิจารณาจากศักยภาพระบบไฟฟ้า ความต้องการใช้ไฟของชุมชน และความพร้อมของที่ดินในพื้นที่ ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) อัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี สัญญาแบบ Non-Firm และเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้แก่ผู้ใช้ไฟในชุมชนเป้าหมาย การคัดเลือกเอกชนร่วมดำเนินโครงการจะพิจารณาจากความพร้อมทั้งด้านคุณสมบัติและเทคนิค เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถพัฒนาและดำเนินการได้ตามแผนจนตลอดอายุสัญญา ทั้งนี้ สิทธิในหน่วย Renewable Energy Certificate (REC) หรือ Carbon Credit ที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าภายใต้โครงการนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของภาครัฐ และจะระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ประชุมได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย. กฟภ.ร่วมกันกำหนดพื้นที่ชุมชนเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับดำเนินโครงการ ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
“โครงการโซลาร์ชุมชน คาดว่า จะทำให้ชุมชนที่ร่วมโครงการใช้ไฟฟ้าถูกลง 40-80 สตางค์ต่อหน่วย และเกิดเม็ดเงินลงทุนรวม 30,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 1,700 ตำแหน่ง”
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบแนวทางดำเนินการสำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน หรือ โครงการ “โซลาร์บิ๊กล็อต” (RE Big Lot) รอบที่ 2 โดยเห็นชอบให้ดำเนินการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในอัตรารับซื้อ 2.1679 บาทต่อหน่วย เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับใช้เจรจาของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินที่ กฟผ.
ได้ดำเนินการจัดทำโดยปรับให้สอดคล้องกับลักษณะโครงการและต้นทุนการดำเนินการของภาคเอกชน ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 มีอัตรา 2.1941 บาทต่อหน่วย สูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินที่มีอัตรา 2.1679 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินการเช่นเดียวกับกรณีโครงการพลังงานลมที่อัตราค่าไฟฟ้าโครงการพลังงานลมที่ กฟผ. ดำเนินการสูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้า FiT โครงการพลังงานลมเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติให้ภาคเอกชนพิจารณาปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในภาพรวมและมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาปรับปรุงกรอบระยะเวลาการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และขยายกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละโครงการ โดยการขยาย SCOD ต้องไม่เกินปี 2573
“ภายใต้มติดังกล่าว จะเป็นการขอความร่วมมือภาคเอกชนได้ปรับอัตรารับซื้อไฟฟฟ้าลดลงจากราคาที่กำหนดไว้ประมาณ 1 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้า ซึ่งจากการหารือกับภาคเอกชนเบื้องต้น ส่วนใหญ่พร้อมให้ความร่วมมือ”
อีกทั้ง กพช.ได้เห็นชอบ หลักการร่างสัญญา Energy Wheeling Agreement (EWA) สำหรับ โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ระยะที่ 2 (LTMS-PIP Phase 2) โดยเห็นชอบ อัตราค่า Wheeling Charge ของไทย เท่ากับ 3.5879 US Cent /หน่วย ทั้งนี้ สามารถปรับเพิ่มอัตรา Wheeling Charge ได้ แต่ต้องไม่ก่อนวันที่ 22 มิถุนายน 2569 โดยไม่ต้องนำมาเสนอ กพช. อีกครั้ง เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก โดยที่ประชุมมอบหมายให้ กฟผ. นำเสนอสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ตรวจพิจารณาร่าง EWA โครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 2 และ มอบหมายให้ กฟผ. ลงนามในร่างสัญญา EWA โครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 2 ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจาก อส. แล้ว นายอรรถพลฯ ได้เปิดเผยว่า โครงการ LTMS ถือเป็นหนึ่งในโครงการนำร่องที่สำคัญภายใต้ ASEAN Power Grid (APG) ซึ่งมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายและส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าข้ามประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานในภูมิภาค และรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในอนาคต โดย LTMS-PIP ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการเชิงธุรกิจในการซื้อขายและส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาดจาก สปป.ลาว ไปยังสิงคโปร์ ที่ปริมาณไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 100 เมกะวัตต์ จากการดำเนินโครงการที่ผ่านมามีการส่งผ่านไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไปยังสิงคโปร์แล้วทั้งสิ้นจำนวน 266.33 ล้านหน่วย โดยสิ้นสุดโครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 1 แล้วเมื่อวันที่21 มิถุนายน 2567
รวมถึง ที่ประชุม กพช. ได้เห็นชอบให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้ประกอบการ Data Center ตามนโยบายรัฐบาล โดยให้ใช้งบประมาณภายใต้โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (Transmission System Improvement Project in Eastern Region to Enhance System Security: TIPE) ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว เพื่อดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมประมาณ 1,750 เมกะวัตต์ ครอบคลุมการพัฒนาและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้ กฟผ. จัดทำรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมใน ระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นแผนการดำเนินการที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติใหม่ วงเงินลงทุนรวมประมาณ 30,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่ภาคตะวันออกให้เพียงพอต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่ EEC และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อเสนอขออนุมัติจาก ครม. ตามขั้นตอนต่อไป
รวมถึง ที่ประชุมฯ ยังได้เห็นชอบ แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2569–2571 เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในทุกภาคส่วน ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้กำหนดกรอบการใช้จ่ายรวม 15,000 ล้านบาท โดยเน้นสนับสนุนโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน การพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก การวิจัยนวัตกรรม การสาธิตนำร่องการพัฒนาบุคลากร และการสื่อสารประชาสัมพันธ์ แบ่งเป็น ปีงบประมาณ 2569 จำนวน 9,000 ล้านบาท และปี 2570–2571 ปีละ 3,000 ล้านบาท ซึ่งในวงเงิน 9,000 ล้านบาทของปี 2569 นั้น
รวมถึงโครงการ “โซลาร์สูบน้ำ” ซึ่งเป็นการสานต่อโครงการไฟฟ้าชุมชนพลังงานแสงอาทิตย์มีเป้าหมายในการกระจายระบบพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้ในระบบชลประทานและประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ นอกจากนี้ กพช. ยังให้อำนาจคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการปรับปรุงรายละเอียดแนวทางและการจัดสรรงบประมาณได้ตามความจำเป็นและสถานการณ์ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนมีความยืดหยุ่น โปร่งใส และเกิดประสิทธิผลสูงสุดในการสนับสนุนการพัฒนาพลังงานของประเทศในระยะต่อไป