![]()
ทิศทางพลังงานโลกมุ่งสู่พลังงานสะอาดยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งนอกจากให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านพลังงานลม พลังงานแสงอาทิย์แล้วในหลายประเทศยังให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดที่มีความมั่นคง โดยเริ่มศึกษาและลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ Small Modular Reactor (SMR) ซึ่งในปัจจุบันมี 2 ประเทศที่มีการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า SMR แล้วนั่น คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน และ รัสเซีย และมีหลายประเทศที่เริ่มลงทุนพัฒนาอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ ซึ่งในหลายประเทศมองว่าโรงไฟฟ้า SMR มีความปลอดภัยสูงกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ และยังเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด สามารถตอบโจทย์การลดภาวะโลกร้อนได้เป็นอย่างดี


ในขณะที่ประเทศไทย โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะหน่วยงานหลักของไทยที่ดูแลความมั่นคงด้านไฟฟ้าก็ได้เร่งดำเนินศึกษาเทคโนโลยี SMR อย่างจริงจัง เตรียมความพร้อมรองรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศฉบับใหม่ (แผน PDP….) ซึ่งคาดว่าจะกำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR ในแผน จำนวน 2 โรง รวมกำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 ตามที่เคยกำหนดไว้ในแผน PDP 2024
ทั้งนี้ล่าสุดกฟผ. ได้ศึกษาเทคโนโลยีโรงไฟฟ้า SMR ที่ประเทศเกาหลีใต้ ณ เมืองแทจอน ซึ่งเป็นอีกประเทศที่เชี่ยวชาญและเป็นผู้นำด้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Top 5 ประเทศที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากที่สุด จำนวน 26 โรง คิดเป็นร้อยละ 30 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ ซึ่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ทั้งหมดจัดหาโดยบริษัท KEPCO Nuclear Fuel (KNF) ผู้ผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์รายเดียวของประเทศ


ส่วนการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR นั้นดำเนินการภายใต้ KOREA HYDRO NUCLEAR POWER (KHNP) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของเกาหลีใต้ ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนิวเคลียร์ของโลกมีประสบการณ์กว่า 50 ปี โดยมีศูนย์วิจัยกลาง CRI ณ เมืองแทจอน และมีแผนจะลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กด้วยเทคโนโลยี i-SMR (Innovative Small Modular Reactor) ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 170 เมกะวัตต์ต่อโมดูล โดยจะดำเนินการสร้างทั้งหมด 4 โมดูล รวมกำลังการผลิต 680 เมกะวัตต์
ตามแผนการผลิตไฟฟ้าเกาหลีใต้ฉบับที่ 11 (11th Basic Plan for Electricity Supply and Demand: BPLE-11) จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR ในปี 2030 คาดเปิดดำเนินการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2035 อย่างไรก็ตามการพัฒนาโรงไฟฟ้า i-SMR ของ KHNP ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการออกแบบพื้นฐานเสร็จแล้ว โดย KHNP ตั้งเป้าอนุมัติแบบมาตรฐาน (SDA) ภายในปี 2028
สำหรับจุดเด่นของเทคโนโลยี i-SMR ทาง KHNP ระบุว่า มีความปลอดภัยสูงถึง 1,000 เท่า เมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ โดยใช้ระบบระบายความร้อนแบบธรรมชาติ (ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า) การก่อสร้างเร็วต้นทุนต่ำ โดยผลิตเป็นโมดูลในโรงงาน ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 53 เดือน สำหรับ 4 โมดูล เร็วกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่
พัฒนา SMR ในไทยต้องครอบคลุมทั้ง Value Chain

นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. ระบุว่า การศึกษาดูงานที่เกาหลีใต้ทำให้เห็นว่า การพัฒนา SMR ในปรเทศไทยหัวใจสำคัญไม่ใช่เพียงแค่การซื้อเทคโนโลยีมาใช้ แต่ต้องมองให้ครอบคลุมทั้ง Value Chain หรือห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมของตนเอง การจัดหาเชื้อเพลิง ไปจนถึงการบริหารจัดการกากนิวเคลียร์ เพื่อความยั่งยืนและการพึ่งพาตนเองให้ได้ในระดับหนึ่ง เช่น สามารถซ่อมบำรุงได้เอง แทนที่จะพึ่งพาเจ้าของเทคโนโลยีจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว
“เทคโนโลยีเหล่านี้มีข้อจำกัด หากพึ่งพาเทคโนโลยีจากมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝั่งตะวันออก (จีน, รัสเซีย) หรือตะวันตก (สหรัฐฯ, เกาหลีใต้) เพียงอย่างเดียว จะทำให้ประเทศขาดอำนาจต่อรองไทยจึงจำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถในการบำรุงรักษา (Maintenance) และดูแลระบบได้เองในระดับหนึ่งเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน”
ส่วนขั้นตอนการตัดสินใจในการลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ในไทยนั้นรัฐบาลต้องตัดสินใจก่อนว่าจะเดินหน้าเรื่องนิวเคลียร์หรือไม่ ในขณะแผน PDP ฉบับใหม่มีการบรรจุเรื่อง SMR ไว้แล้ว แม้การยุบสภาอาจทำให้ขั้นตอนการอนุมัติสะดุดลงบ้าง แต่การเตรียมการยังคงดำเนินต่อไปได้ ส่วนเกณฑ์การเลือกเทคโนโลยี ต้องพิจารณา 3 ส่วน คือ 1. ประสิทธิภาพของเนื้อเทคโนโลยี 2. การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพึ่งพาตนเอง 3.ความสมดุลในเชิงมหาภาคและภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ดั้งนั้นการตัดสินใจนี้ถือเป็นวาระระดับชาติที่รัฐบาลต้องเป็นผู้กำหนดทิศทาง ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของ กฟผ. หน่วยงานเดียว
ความพร้อมและจุดแข็งของประเทศไทย
เมื่อถามถึงความพร้อมและจุดแข็งของประเทศไทยในการลงทุนโรงไฟฟ้า SMR นายวฤต ระบุว่า บุคลากรไทยมีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรมานานพอสมควร แต่จากการประเมิน 19 ข้อที่ IAEA (International Atomic Energy Agency) หรือ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศเคยประเมินไว้พบว่าไทยยังมี “ช่องว่าง” (Gap) ที่ต้องเร่งดำเนินการ 2 เรื่องหลัก คือ การออกกฎหมายกำกับดูแล (Regulation) ซึ่งสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติกำลังเร่งดำเนินการ และการยอมรับของประชาชน (Public Acceptance),
สำหรับ 19 ข้อที่ IAEA กำหนดไว้ ดังนี้
- การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment).
- การกำกับดูแลความปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสี (Nuclear and Radiation Safety Regulation).
- การเฝ้าระวังภัยทางรังสี (Radiation Monitoring).
- การป้องกันเหตุฉุกเฉินจากวัสดุผิดกฎหมาย (Emergency Preparedness for Illicit Trafficking).
- การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร เครื่องมือ และอุปกรณ์ (Personnel, Equipment, and Tools Preparedness).
- การแจ้งเตือนระหว่างประเทศ (International Notification).
- การลดความเสี่ยงจากเหตุฉุกเฉิน (Emergency Risk Reduction).
- การแจ้งเหตุฉุกเฉิน (Emergency Notification).
- การดำเนินการระยะแรกของเหตุฉุกเฉิน (Initial Response).
- การบริหารจัดการเหตุฉุกเฉิน (Emergency Management).
- มาตรการตอบสนองเหตุฉุกเฉิน (Emergency Response Measures).
- ความช่วยเหลือทางการแพทย์ (Medical Assistance).
- การสื่อสารข้อมูลสาธารณะกรณีฉุกเฉิน (Public Communication in Emergencies).
- การปฏิบัติการยุติสถานการณ์ (Termination of Emergency Actions).
- การวิเคราะห์สาเหตุและป้องกัน (Root Cause Analysis and Prevention).
- การจัดการพื้นที่เกิดเหตุและผลกระทบ (Area Management).
- มาตรการระยะยาว (อาหารและสิ่งแวดล้อม) (Long-term Measures in Food & Environment).
- การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Preparedness) (จัดกลุ่มรวมหลายประเด็น).
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ (International Cooperation) (เช่น ASEANATOM)
SMR ทางออก Net Zero ที่ต้นทุนแข่งขันได้
นายวฤต ระบุว่า โรงไฟฟ้า SMR ถูกมองว่าเป็นทางออกสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 เพราะมีความเสถียรและต้นทุนที่แข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์มากกว่าพลังงานหมุนเวียนบางประเภท เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ที่ต้องพึ่งพาแบตเตอรี่นั้นมีข้อจำกัดเรื่องแร่หายาก (Rare Earth) โดย SMR นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ย่อส่วนมาจากสิ่งที่ใช้อยู่แล้วในเรือดำน้ำและเรือตัดน้ำแข็ง SMR มีความปลอดภัยสูงกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ และสามารถทำเป็นโมดูลจากโรงงานแล้วขนส่งมาติดตั้งได้เลย

ส่วน ต้นทุนค่าไฟจากโรงไฟฟ้า SMR คาดว่าจะไม่ต่างจากปัจจุบันมากนัก แม้ค่าลงทุนเริ่มแรกจะสูง แต่ค่าเชื้อเพลิงมีราคาถูก และหากมีการติดตั้งหลายโมดูลในพื้นที่เดียวกันจะช่วยแชร์ค่าบริหารจัดการและทำให้ต้นทุนลดลงได้อีก ดังนั้นหากไทยมุ่งสู่ Net Zero โดยไม่มี SMR อาจส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าในอนาคตสูงขึ้นจนกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
พื้นที่ตั้งและเกณฑ์การพิจารณา
นายวฤต กล่าวว่า เกณฑ์ความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลของ IAEA เช่น ไม่เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ หรือไม่มีรอยเลื่อนที่มีพลัง ส่วนพื้นที่ตั้งจำเป็นต้องมีระบบน้ำหรือชลประทาน เพื่อระบายความร้อน แต่ไม่จำเป็นต้องอยู่ติดริมน้ำเสมอไป อย่างไรก็ตามพื้นที่ที่เคยศึกษาไว้เมื่อ 50 ปีก่อน เช่น อ่าวไผ่ ปัจจุบันอาจไม่เหมาะสมแล้ว เนื่องจากชุมชนขยายตัวเข้าไปล้อมรอบแล้ว จึงต้องมีการพิจารณาพื้นที่แห่งใหม่ และนอกจากการตั้งโรงไฟฟ้า SMR เพื่อจ่ายไฟเข้าระบบหลักแล้วยังมีแนวคิดการใช้ SMR ในพื้นที่ปิด เช่น นิคมอุตสาหกรรม เพื่อตอบโจทย์ Net Zero ซึ่งจะช่วยให้ภาคการผลิตของไทยสามารถปรับตัวรับมาตรการกีดกันทางการค้าโลกในระยะยาวได้
“การนำ SMR มาใช้ในประเทศก็เหมือนกับ การเปลี่ยนจากการใช้รถบัสคันใหญ่มาเป็นรถมินิบัสที่ทันสมัยและคล่องตัวกว่า แม้หัวใจสำคัญจะเป็นเครื่องยนต์เหมือนกัน แต่รถมินิบัสนี้สามารถผลิตและประกอบชิ้นส่วนสำเร็จรูปมาได้เลย มีความปลอดภัยสูงขึ้น เข้าถึงพื้นที่ที่รถใหญ่เข้าไม่ได้ (เช่น นิคมอุตสาหกรรม) และหากเรามีช่างที่ซ่อมแซมเองได้ (การพึ่งพาตนเอง) เราก็สามารถเดินรถได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องรออะไหล่จากต่างประเทศ”