ถ้าย้อนอดีตเรื่องระบบไฟฟ้านั้นประเทศไทยเริ่มมีไฟฟ้าใช้ครั้งแรกปี พ.ศ. 2427 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ขณะที่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA เริ่มก่อตั้งวันที่ 28 กันยายน 2503 และเริ่มมีการขยายไฟฟ้าสู่ชนบท ตลอดจนการพัฒนาระบบไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันได้มีการพัฒนา Solution ด้านพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และยกระดับโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย รองรับพลังงานสะอาดมุ่งสู่ความยั่งยืน และในปีนี้ PEA จะครบรอบ 65 ปีในวันที่ 28 กันยายน 2568 PEA ก็หยุดนิ่งที่จะพัฒนาระบบไฟฟ้า เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

ดร.มงคล ตรีกิจจานนท์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เปิดเผยว่า 65 ปี ของ PEA เริ่มต้นจากการบุกเบิกนำไฟฟ้าสู่ประชาชน เร่งรัดพัฒนาไฟฟ้าสู่ชนบทส่งเสริมความเจริญสู่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมจนสามารถขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึงในพื้นที่รับผิดชอบ 74 จังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้น กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ) มีลูกค้า 22 ล้านครัวเรือน
ปัจจุบัน PEA ได้พัฒนาองค์กรเพื่อก้าวสู่ระดับสากลในธุรกิจพลังงาน พัฒนาคุณภาพระบบไฟฟ้าและการบริการ ตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า สร้างคุณค่าสู่สังคม สิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ขับเคลื่อนองค์กรสู่ Digital Utility พร้อมพัฒนาปรับเปลี่ยนด้านพลังงานตามความต้องการของลูกค้า ยกระดับโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัยรองรับพลังงานสะอาดและเดินหน้าบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพด้วยระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “ไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” (Smart Energy for Better Life and Sustainability)
PEA มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
ดร.มงคล กล่าวว่า สำหรับการมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนนั้นได้ดำเนิน โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ครัวเรือนรายใหม่ (คฟม.) PEA ขยายเขตให้สำหรับบ้านที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้และอยู่ห่างจากแนวสายไฟฟ้า เดิม จำนวน 50,000 บาทต่อ 1 ครัวเรือน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งการขยายเขตไฟฟ้านั้นดำเนินการด้วยวิธีปักเสาพาดสายให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ระยะที่ 3 มีเป้าหมาย 146,000 ครัวเรือน งบประมาณ 6,500 ล้านบาท ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568
การดำเนิน โครงการขยายเขตไฟฟ้าเพื่อการเกษตร (คฟก.) PEA ขยายเขตไฟฟ้าไปยังพื้นที่ทำกินทางการเกษตรในระยะที่ 3 เป้าหมาย 50,000 ราย งบประมาณ 2,500 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้เครื่องมือทางการเกษตรที่ใช้ไฟฟ้าได้ เช่น เครื่องสูบน้ำ ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่าการใช้น้ำมัน โดยในปัจจุบันนั้นอยู่ระหว่าง กระทรวงมหาดไทยเสนอเรื่องเข้าสำนักเลขารัฐมนตรี (สลค.) เพื่อเสนอเข้า ครม.

โครงการพัฒนา Microgrid และ BESS เป็นระบบไฟฟ้าขนาดเล็กอิสระที่เชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าหลัก (Grid) โดยมี BESS (Battery Energy Storage System) เป็นหัวใจหลักในการกักเก็บและจ่ายไฟฟ้า ซึ่ง BESS คือระบบแบตเตอรี่ที่ใช้กักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่างๆ และจ่ายคืนกลับสู่ระบบเมื่อจำเป็น โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ลดการสูญเสียพลังงาน และรองรับการใช้พลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ห่างไกล
โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าให้พื้นที่เกาะต่างๆ ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เพื่อขยายการให้บริการพลังงานไฟฟ้าให้หมู่บ้านต่างๆ บนเกาะจำนวน 11 เกาะ (เกาะขามใหญ่ จังหวัดชลบุรี เกาะจิก จังหวัดจันทบุรี เกาะช้าง เกาะพยาม จังหวัดระนอง เกาะกระเต็น จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกาะไม้ไผ่ จังหวัดพังงา เกาะโหลน จังหวัดภูเก็ต เกาะหมากน้อย จังหวัดพังงา เกาะฮั่ง เกาะปอ จังหวัดกระบี่ และ เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล) ลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มขีดความสามารถสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน
โครงการจัดหาไฟฟ้าให้กลุ่มบ้านในพื้นที่ห่างไกล ด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมระบบกักเก็บพลังงาน พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ ให้มีความเท่าเทียม เข้าถึงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลให้มีไฟฟ้าใช้ครอบคลุมทุกครัวเรือน พร้อมติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บพลังงานและระบบไฟฟ้าแรงต่ำ ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมาย 10 กลุ่มบ้านๆ ละ ไม่ต่ำกว่า 80 ครัวเรือน
การดำเนินการด้านธุรกิจ PEA Climate Solution
ดร.มงคล กล่าวว่า สำหรับใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) PEA จัดหาใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate:REC) สำหรับองค์กรที่มีเป้าหมายจะมุ่งสู่ความยั่งยืน หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ที่ได้กำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานสะอาดและองค์กรที่ได้รับผลกระทบการส่งออกจากมาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

พร้อมกันนี้ PEA ยังได้ให้บริการไฟฟ้าสีเขียว (UGT) อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว Utility Green Tariff (UGT) คือ อัตราค่าบริการไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถเลือกใช้ไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม โดยที่ยังคงได้รับไฟฟ้าที่มีคุณภาพ มั่นคง และเชื่อถือได้เหมือนเดิม โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน 100% พร้อมกับได้รับใบรับรองพลังงานหมุนเวียน หรือ REC ตามมาตรฐาน I-REC ของ The International Tracking Standard Foundation
สำหรับใบรับรอง REC นั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และตอบสนองความต้องการของห่วงโซ่อุปทานสากลที่เรียกร้องให้ใช้พลังงานสะอาด ซึ่งปัจจุบัน PEA เปิดให้บริการ UGT1 (อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว แบบไม่เจาะจงแหล่งมา) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเปิดให้บริการ UGT2 (อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว แบบเจาะจงแหล่งมา) ในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ PEA ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์ม CARBONFORM เพื่อประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร พร้อมเชิญชวนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นนิติบุคคลในพื้นที่รับผิดชอบของ PEA 74 จังหวัด ใช้งานแพลตฟอร์ม CARBONFORM ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ บริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ และแพลตฟอร์ม CARBON MICE จัดการคาร์บอนสำหรับงานอีเวนต์ที่สามารถระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างละเอียด ติดตามความคืบหน้าของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเรียลไทม์ วิเคราะห์แหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก วางแผนกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรายงานที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการขององค์กร ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนี้ PEA ยังได้ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพตามนโยบายภาครัฐ ส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยให้บริการติดตั้ง บำรุงรักษา บริการจัดการพลังงานในองค์กร ได้แก่ Renewable Energy : RE ในรูปแบบ ESCO Model Guaranteed Rebate และ Energy Efficiency : EE ในรูปแบบ ESCO Model Shared Saving นอกจากนี้ยังมีโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่เหลือใช้จากภาคครัวเรือน โดยมีเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้า 300 เมกะวัตต์ หรือปีละ 100 เมกะวัตต์ (2568 – 2570) จำนวน 60,000 ครัวเรือน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอโครงการให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และครม. พิจารณาเห็นชอบ
PEA ยกระดับการบริการ
ดร.มงคล กล่าวว่า ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าของ PEA ประกอบด้วย PEA VOLTA เป็นสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าของ PEA เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ปัจจุบันให้บริการแล้ว มากกว่า 400 สถานีทั่วประเทศ PEA มีแผนจะลงทุนเพิ่มปีละประมาณ 100 สถานี ในพื้นที่ที่เหมาะสม

VOLTA CONNEXT ให้บริการ Platform ระบบบริหารจัดการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า แก่ผู้ประกอบการอื่นๆ มาใช้ระบบ PEA Volta โดยผู้ประกอบการไม่ต้องลงทุนพัฒนาแอปพลิเคชันเอง เพื่อช่วยบริหารจัดการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
VOLTA FLEET บริการระบบชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าของกลุ่มองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนแบบครบวงจร ซึ่งสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและกระจายวงเงินการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมให้ความสะดวกสบายจากการชาร์จผ่าน Auto Charge หรือใช้บัตร RFID โดยไม่ต้องโหลดแอป และสามารถตรวจสอบการใช้งานของรถอย่างถูกต้องแม่นยำ
ส่วน PEA Smart Plus เป็นการบริการครบจบใน APP เดียว อาทิ การขอใช้ไฟฟ้า ตรวจสอบประวัติการใช้ไฟฟ้าย้อนหลัง แจ้งไฟฟ้าขัดข้อง คำนวณค่าไฟฟ้า ชำระค่าไฟฟ้าและชำระค่าบริการอื่นๆ ปัจจุบัน PEA พัฒนาเวอร์ชันใหม่ ที่สะดวก รวดเร็วและดูข้อมูลละเอียดมากขึ้น
PEA e-Service บริการออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของ PEA (www.pea.co.th) เพื่ออำนวยความสะดวกกับลูกค้า ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปสำนักงาน เช่น ขอใช้ไฟฟ้า สอบถามประวัติการใช้ไฟฟ้า ขอรับใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (PEA e-Bill) ขอรับบริการติดตั้ง PEA Solar และ ติดตามสถานะธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
PEA LINE Official Account ภายใต้ชื่อ PEA Thailand เป็นช่องทางให้บริการตรวจสอบ แจ้งเตือน และชำระค่าไฟฟ้า แจ้งเตือนกระบวนการและสถานะการงดจ่ายไฟฟ้า มีริช เมนูที่เชื่อมต่อไปยังบริการอื่นๆ เช่น PEA e-Service และ 1129 PEA Contact Center
นอกจากนี้ PEA ยังได้เปิดให้บริการ Watt-D Point เป็นการสมัครและสะสมคะแนนผ่านแอปพลิเคชัน PEA Smart Plus เพื่อแลกรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้แก่ แลกรับเงินคืนค่าไฟฟ้าหรือแลกรับสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ โดยลูกค้าจะได้รับคะแนนสะสมตั้งแต่เริ่มสมัคร และยังได้รับคะแนนต่อเนื่อง ทั้งจาก “การชำระค่าไฟฟ้าภายในกำหนด” และ “การใช้บริการอื่นๆ ของ PEA”
สำหรับก้าวต่อไปของ PEA มุ่งพัฒนา AI
ดร.มงคล กล่าวว่า เป้าหมายแรกสู่การเป็น Digital and Green Grid และเป็นปีที่ PEA จะเร่งเครื่องสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์อย่างแท้จริง หรือ PEA Move to AI Organization เพื่อยกระดับ ความมั่นคง (Reliability), ประสิทธิภาพ (Efficiency) และ ประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) ให้ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอบโจทย์ยุคเปลี่ยนผ่านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ โดย PEA มุ่งเน้นประเด็นสำคัญดังนี้

AI Organization นำ AI เพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าด้วยการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) แทนการรอให้เสียแล้วซ่อม และการบริการที่รวดเร็ว ผ่าน PEA Smart Plus และ LINE OA ช่วยให้ PEA บริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมในระยะยาว และช่วยให้ผู้ใช้ไฟวางแผนการใช้พลังงานเพื่อประหยัดค่าไฟของตนเองได้ AI for Operations ใช้โดรนและ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายต้นไม้ใกล้แนวสายไฟฟ้า เพื่อหาว่าเส้นทางใดที่ต้องทำการตัดต้นไม้ก่อน ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จะหาจุดชำรุดหรือจุดเสี่ยงโดยอัตโนมัติ ซึ่งลดทั้งความเสี่ยงของพนักงานและเพิ่มความแม่นยำ
AI for Service PEA พัฒนา Chatbot อัจฉริยะรุ่นใหม่ ที่สามารถเข้าใจภาษาไทยที่ซับซ้อนและเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ AI for Efficiency and New Business ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการภายใน ลดต้นทุน ยกระดับความโปร่งใส และต่อยอดสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในยุค Electricity 5.0 AI for Grid พัฒนา AI พยากรณ์โหลด (Load Forecast) และพยากรณ์ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้บริหารจัดการไฟฟ้าในระบบได้เสถียรยิ่งขึ้น
ทั้งนี้การเป็น AI Organization จะสำเร็จได้ ต้องมีรากฐานที่มั่นคง คือ บุคลากรของ PEA ต้องมีการ “Upskill และ Reskill” พนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัลและ AI เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างเต็มศักยภาพ และสร้างวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่มหาศาลให้มีคุณภาพ พร้อมใช้งาน และเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดย PEA กำลังทำแพลตฟอร์มข้อมูลกลาง เพื่อให้ AI สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ PEA จะลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงให้สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลและสร้างโมเดล AI ที่ซับซ้อนให้มีความปลอดภัย ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น รองรับการเติบโตในอนาคต