ผู้ชมทั้งหมด 102
การบินไทย กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก 4 ส.ค. 68 ราคาอยู่ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 134.4 % จากราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 4.48 บาท นักวิเคราะห์ ชี้กำไร 68-70 แนวโน้มโตแข็งแกร่ง

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI จัดพิธีเปิดการกลับเข้าซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 หลังจากประสบความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ครั้งสำคัญ ในฐานะสายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจ พร้อมต่อยอดสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับการดำเนินงาน คุณภาพการให้บริการ ควบคู่กับการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลสูงสุด และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อก้าวสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีคุณภาพของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยราคาเปิดเทรดวันแรกอยู่ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 134.4 % จากราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 4.48 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกือบ 3 แสนล้านบาท
โดยการกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรกมีปริมาณการซื้อขาย 521,979.62 หุ้น มูลค่าการซื้อขาย 5,216.26 ล้านบาท ราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 11 บาทต่อหุ้น ต่ำสุดที่ 8.55 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์หุ้น THAI ด้วยคำแนะนำ ซื้อ และให้ราคาเป้าหมายที่ 10 บาท โดยอิงจาก P/E เป้าหมายที่ 10.5 เท่า (เทียบเท่าอุตสาหกรรมสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) THAI เป็นสายการบินแห่งชาติที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในประเทศไทย หลังจากฟื้นฟูกิจการ การบินไทยได้ก้าวขึ้นสู่เส้นทางบินที่ไม่มีการแข่งขันสูงด้วยฝูงบินและเครื่องยนต์ที่ลดจำนวนลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เน้นเส้นทางที่ทำกำไรเป็นหลัก
ทั้งนี้ THAI วางแผนขยายฝูงบินเพิ่มขึ้น 50% ภายใน 5 ปีข้างหน้า เพื่อรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในเอเชีย ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ต่อผู้โดยสาร (Yield) และอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Load factor) ที่ดีกว่าคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะเส้นทางบินยุโรปและญี่ปุ่น ทั้งนี้ Yield หลังโควิด – 19 ของ THAI ยังคงแข็งแกร่ง โดยลดลงน้อยกว่าคู่แข่งในช่วงปี 66-67 อีกทั้งยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุนเพิ่มเติม และการเติบโตของรายได้จากพันธมิตรทางการบิน
นักวิเคราะห์คาดว่า Yield ต่อผู้โดยสารของ THAI จะลดลงจาก 3.0 บาทต่อปริมาณการขนส่งด้านผู้โดยสาร (RPK) ในปี 66-67 เหลือ 2.8 บาทต่อ RPK ในปี 68-70 อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์คาดกำไรของ THAI ยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากฐานต้นทุนที่ต่ำ อีกทั้ง CASK มีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ยังมีอัพไซด์จากการประหยัดน้ำมันด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ มีช่องทางการขายตรงที่เพิ่มขึ้น และการมีศูนย์ซ่อมบำรุงของตัวเอง ซึ่งสามารถชดเชยผลกระทบจาก Yield ที่ลดลงได้ ดังนั้นหุ้น THAI จึงเป็นหุ้นสายการบินที่น่าลงทุน