นายกฯ นั่งหัวโต๊ะ ประชุม ครม.เศรษฐกิจ สั่งกระทรวงเศรษฐกิจ เร่งจัดทำ Action Plan ตัวชี้วัดความสำเร็จให้ชัดเจน ตามนโยบาย Quick Big Win “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” มอบปลัดกระทรวงและหัวหน้าหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เป็นสะพานเชื่อม ผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้บรรลุผล พร้อมเร่งภาครัฐใช้งบอบรมสัมมนา ดันหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดเบิกจ่ายงบปี 2569
วันนี้ (15 ต.ค.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ CB 406 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ โดยมีคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมด้วย

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุม กนศ. มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยใช้เวทีนี้พูดคุย อัปเดตข้อมูลงานที่กำลังขับเคลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน ให้เกิดความสำเร็จ เห็นผลภายในเวลาอีกไม่ถึง 4 เดือน ตามแนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ให้ปลัดกระทรวงและหัวหน้าหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วยเพื่อเป็นสะพานเชื่อม นำสิ่งที่หารือไปช่วยกันดำเนินการต่อได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งได้เชิญตัวแทนภาคเอกชน 3 สถาบัน เข้าร่วมประชุม เพื่อให้ข้อมูลและความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะดำเนินการ เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างรวดเร็ว
นายกฯ ได้เน้นย้ำถึงความคล่องตัว ลดขั้นตอน และถ้าอยู่ในอำนาจตามกฎหมาย ให้ทำทันที หากมีความคืบหน้าหรือติดขัดให้มารายงานในที่ประชุม เพราะจะมีการประชุมนี้ทุกวันจันทร์ช่วงบ่าย และหากต้องใช้อำนาจของ ครม. จะได้นำเรื่องเสนอ ครม. ต่อไป
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณามาตรา Quick Big Win 5 เสาหลัก “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ได้แก่
1. กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
2. ลดภาระหนี้ประชาชน
3. เพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs
4. เพิ่มการออมของประชาชน
และ 5. การลงทุนเพื่ออนาคต
โดยมอบกระทรวงต่างๆ ที่มีโครงการภายใต้นโยบาย Quick Big Win กำหนด Action Plan ตัวชี้วัดความสำเร็จให้ชัดเจน และสามารถประเมินผลได้จริง








ด้าน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ได้เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในส่วนของการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งเป็นมาตรการทางภาษี ด้วยการนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวไปหักค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่เกินคนละ 20,000 บาท
และในส่วนของค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเมืองหลัก จะสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 1 เท่า ขณะที่เมืองรอง จะสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 1.5 เท่า ซึ่งจะเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-15 ธ.ค.นี้
นอกจากนี้ ยังมีการกระตุ้นการท่องเที่ยวในส่วนของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งตามปกติจะมีงบสำหรับใช้จ่ายในการอบรม-สัมมนาประจำปีอยู่แล้ว แต่มักจะเป็นการใช้จ่ายในช่วงปลายปีงบประมาณ หรือในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีงบประมาณ ดังนั้น เพื่อให้เป็นการช่วยเร่งฟื้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้ จึงมีนโยบายให้เบิกจ่ายงบเพื่อการดังกล่าวภายในเดือน ม.ค.69 อย่างน้อย 60% เพื่อช่วงกระตุ้นดีมานด์ในระยะสั้น
ส่วนการกระตุ้นระยะยาว จะมีมาตรการให้ผู้ประกอบการโรงแรม-ที่พัก สามารถนำค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพัฒนาโรงแรม-ที่พัก มาหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า โดยระยะเวลาโครงการจะยาวไปจนถึงสิ้นมี.ค.69 ขณะเดียวกัน กรมสรรพสามิต จะปรับลดอัตราภาษีสถานบริการลงจาก 10% ให้เหลือ 5% และประสานงานกับกรมการปกครอง และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกันพิจารณาให้สถานบริการเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอื่น ๆ จากโครงการของรัฐบาลในระยะถัดไป
อีกทั้ง ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ยังเห็นชอบแนวทางเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ โดยในปีงบประมาณ 2569 ได้ตั้งเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณโดยจะกำหนด KPI แก่หัวหน้าส่วนราชการ ว่าต้องเบิกจ่ายงบประมาณไม่ต่ำกว่า 93% และงบลงทุน ต้องเบิกจ่ายไม่ต่ำกว่า 75%