ครม. เห็นชอบ ร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และ สิงคโปร์ ตามที่กระทรวงพลังงาน นำเสนอ ชี้ช่วยผลักดันการซื้อขายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าแบบพหุภาคี สร้างความมั่นคงทางพลังงาน นำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 14 ต.ค.2568 ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฯ ได้พิจารณา เรื่อง ร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และ สิงคโปร์
โดยคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ไทย และสิงคโปร์ ฉบับที่ 6 (ร่างถ้อยแถลงรวมฯ) และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้ กระทรวงพลังงาน(พน.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
รวมทั้ง อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ให้การรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
สำหรับสาระสำคัญของเรื่อง มีดังนี้
มาเลเซียในฐานะเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานครั้งที่ 43 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 14 – 16 ตุลาคม 2568 ได้กำหนดให้มีการรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในวันที่ 16 ตุลาคม 2568 โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีพลังงานของทั้ง 4 ประเทศ (สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์) ในการสนับสนุนโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าฯ เพื่อผลักดันการซื้อขายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าแบบพหุภาคี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและนำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน
โดย พน. แจ้งว่า สาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีความเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย สามารถปฏิบัติได้ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณจากงบรายจ่ายอื่น โครงการเจรจาและประชุมนานาชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับการเดินทางเข้าร่วมประชุม/กิจกรรมที่ต้องดำเนินการภายใต้ร่างถ้อยแถลงร่วมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พน. เพื่อการนี้ไว้ด้วยแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กรมอาเซียน) และสำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้องต่อสารัตถะในภาพรวม และเห็นว่าร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มิได้มีการใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ประกอบกับไม่มีการลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย