ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าแสงอาทิตย์ หนุนติดตั้งโซลาร์รูฟฯใช้เอง

ผู้ชมทั้งหมด 60 

ครม. อนุมัติหลักการ “ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์” เน้นความปลอดภัย การจัดการอุปกรณ์หลังหมดอายุ และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชน เบื้องต้นกำหนดให้ติดตั้งเพื่อใช้เอง โดยใช้ได้เฉพาะในสถานที่ติดตั้งเท่านั้น  กำหนดให้แจ้งการติดตั้งต่ออธิบดีกรม พพ. ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน พร้อมบทลงโทษผู้ฝ่าฝืน ยืนยันไม่กระทบรายได้ กฟผ.

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 29 ก.ค. 2568 มีมติอนุมัติหลักการ “ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์” ซึ่งเป็นการแจ้งและกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์รูฟท็อป สำหรับใช้เองในที่อยู่อาศัยและในสถานประกอบกิจการ

โดยจะมีการกำกับดูแลกระบวนการติดตั้งระบบอุปกรณ์พลังงานงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและวิศวกรรม รวมทั้งการจัดการด้านอุปกรณ์หลังหมดอายุการใช้งาน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าของประชาชนและลดภาระการใช้จ่ายด้านพลังงานของประเทศ รวมถึงลดการพึ่งพาและลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างชาติ

นอกจากนี้ ครม. รับทราบแผนงานการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมุ่งเน้นให้เกิดกระบวนติดตั้งอุปกรณ์เป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ควบคู่กับการวางกรอบกำกับการดูแลติดตั้งให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีมาตรฐานความปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนความยุ่งยาก

สำหรับ ร่าง พ.ร.บ. นี้ มีเนื้อหาสำคัญ 5 เรื่อง ได้แก่ 1. กำหนดให้มีการแจ้งการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อใช้เองในที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบการ ต่ออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยไม่ต้องขออนุญาตการติดตั้งจากหน่วยงานของรัฐหลายๆ แห่งอีก

2. มีการกำกับให้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์รูฟท็อปเฉพาะในสถานที่ติดตั้งเท่านั้น 3.กำหนดหลักเกณฑ์การติดตามการจัดการซากอุปกรณ์และห้ามถอดแยกชิ้นส่วนซากอุปกรณ์ของโซลาร์รูฟท็อปหลังหมดอายุการใช้งานแล้ว ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย

4.กำหนดหน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงานเพื่อการตรวจสอบและติดตามการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และ 5.มีบทลงโทษสำหรับการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้

ทั้งนี้ ปัจจุบันกำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยมีประมาณ 55,707 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงและพลังงานทุกประเภทเฉลี่ยประมาณ 25,000 เมกะวัตต์ ซึ่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะไม่กระทบต่องบประมาณและการสูญเสียรายได้ของรัฐอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนมาจำหน่ายให้ประชาชนในปริมาณที่สูงกว่าการผลิตไฟฟ้าจำหน่ายเอง ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของ กฟผ. คือค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากโรงไฟฟ้าเอกชน ดังนั้นค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายจึงเป็นของโรงไฟฟ้าเอกชนและผู้ที่จะสูญเสียรายได้หลักจึงเป็นโรงไฟฟ้าของเอกชน ไม่ใช่ กฟผ.