![]()
ทล.เปิดเวทีฟังเสียงเอกชนบริหารที่พักริมทาง มอเตอร์เวย์M 7 และM 9 คาดเปิดประมูลปี 69 มูลค่าลงทุน 425 ล้าน พร้อมกำหนดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบปี 70 ขณะที่กรอบระยะเวลาร่วมลงทุน 10–15 ปี

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ นายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เป็นประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) สำหรับโครงการให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public–Private Partnership : PPP) ในการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทาง บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 และหมายเลข 9
โดยนายปิยพงษ์ กล่าวว่า การพัฒนา ที่พักริมทางถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญ เนื่องจากที่พักริมทางเป็นองค์ประกอบหลักของระบบทางหลวงพิเศษ ที่มีบทบาทเป็นจุดแวะพัก ที่ให้บริการแก่ผู้ใช้เส้นทางบนมอเตอร์เวย์ โดยสามารถใช้เป็นสถานที่เพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ พักผ่อนระหว่างการเดินทาง การทำธุระส่วนตัว รวมถึงการใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อช่วยป้องกันและลดอุบัติเหตุจากความเมื่อยล้าหรือหลับใน สนับสนุนเป้าหมายเรื่องการลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุและลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ตลอดจนลดการเข้า–ออกจากระบบทางหลวงพิเศษโดยไม่จำเป็น ช่วยให้ผู้ใช้ทางประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
โดยที่ผ่านมา ทล.ได้จัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานบน M7และM9 ไว้แล้ว เช่น ห้องน้ำสะอาด ที่จอดรถ และพื้นที่พักผ่อน เป็นต้น แต่ยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆที่เป็นเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นความต้องการของประชาชน และมีเสียงเรียกร้องเข้ามาโดยตลอด ได้แก่ ร้านค้า ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายเครื่องดื่ม เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ทางได้อย่างครบวงจร

ปัจจุบันเส้นทางดังกล่าวมีปริมาณการจราจรเฉลี่ย 1 แสนคันต่อวัน ก็มั่นใจว่าจะช่วยจูงใจให้เอกชนเข้ามาลงทุน ในเบื้องต้นโครงการมีกรอบระยะเวลาการร่วมลงทุนประมาณ 10–15 ปี แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 ช่วงการพัฒนาโครงการที่ทางภาคเอกชนเป็นผู้จัดหาเงินทุน ออกแบบ พัฒนาพื้นที่พาณิชย์ และสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ภายใต้ข้อกำหนดของกรมทางหลวง ช่วงที่ 2 ช่วงดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ซึ่งภาคเอกชนเป็นผู้บริหารจัดการ บำรุงรักษา และบูรณะโครงการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อกำหนด ภายใต้การกำกับดูแลของทล. โดยมีสิทธิรับรายได้จากโครงการ และจ่ายค่าตอบแทนให้ภาครัฐตามเงื่อนไขในสัญญาร่วมลงทุน
ขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานศึกษาและวิเคราะห์โครงการ เพื่อเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โดยมีแผนเสนอขออนุมัติโครงการ และเริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน และลงนามสัญญาร่วมลงทุนภายในปี พ.ศ. 2569 หลังจากนั้นคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 90 วัน ก็จะสามารถทยอยเปิดให้บริการบางส่วนกับผู้ใช้ทางได้



โดยภายในงานได้รับความสนใจภาคเอกชนหลากหลายธุรกิจ ทั้งจากกลุ่มผู้พัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มผู้ประกอบการด้านพลังงาน กลุ่มผู้ประกอบการด้านการก่อสร้างและบริหารมอเตอร์เวย์และทางด่วนกว่า 27 บริษัท สถาบันการเงิน หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจกว่า 18 หน่วยงาน ตลอดจนสื่อมวลชนแขนงต่างๆ รวมมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 150 คน
นายปิยพงษ์ กล่าวว่า สำหรับโครงการสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง ซึ่งเป็นที่พักริมทางขนาดกลาง และได้เคยเปิดประมูลไปแล้วแต่ไม่มีผู้สนใจเข้ามายื่นซองนั้น ทล. มีแผนที่จะดำเนินการเองในเบื้องต้น โดยการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ห้องน้ำ และที่จอดรถ ในลักษณะเดียวกันกับที่ทล.เคยดำเนินการกับมอเตอร์เวย์ M7 และ M9 โดยอยู่ระหว่างเตรียมจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอของบประมาณปี 2570 มาดำเนินการ น่าจะแล้วเสร็จเปิดให้บริการได้ภายใน1ปี
ขณะที่โครงการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักทางศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา บนมอเตอร์เวย์ M7 ช่วงชลบุรี-พัทยา นั้นผู้รับจ้างได้เข้าพื้นที่เริ่มงานก่อสร้างไปแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2570 แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2569 น่าจะสามารถทยอยเปิดให้ผู้ใช้ทางเข้าไปใช้บริการได้บางส่วน เช่น ห้องน้ำ ที่จอดรถ ปั๊มน้ำมัน เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมูลค่าการลงทุนรวมของโครงการที่พักริมทางM7และM9 อยู่ที่ 425 ล้านบาทครอบคลุมการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทางขนาดเล็ก (Rest Stop) รวม 5 ตำแหน่ง บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 2 เส้นทาง ได้แก่ 1.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สาย กรุงเทพฯ–ชลบุรี–มาบตาพุด จะมีจุดพักรถลาดกระบัง (กม. 21) พื้นที่ประมาณ 10 ไร่, จุดพักรถหนองรี (กม. 72) พื้นที่ประมาณ 18 ไร่, จุดพักรถมาบประชัน (กม. 118) พื้นที่ประมาณ 16 ไร่ 2.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 สาย ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันออก มีจุดพักรถคลองหลวง (กม. 20) พื้นที่ประมาณ 5 ไร่, จุดพักรถทับช้าง (กม. 49) พื้นที่ประมาณ 8 ไร่