ผู้ชมทั้งหมด 145
นายกฯ สั่ง ครม. รับมือสถานการณ์โลก ชายแดนไทย-กัมพูชา มุ่งให้ความสำคัญใน 7 ด้าน ขณะที่ความมั่นคงทางพลังงาน มอบ “พีระพันธุ์” เตรียมมาตรการรับมือ สำรองน้ำมัน ป้องกันขาดแคลน รักษาเสถียรภาพราคา
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันนี้ (24 มิ.ย.2568) โดยระบุว่า จากสถานการณ์ระหว่างประเทศที่กระทบต่อประเทศไทย ไม่ว่าเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งของอิหร่านและอิสราเอล ย่อมมีผลที่อาจจะขยายเป็นวงกว้างในโลก โดยยังไม่มีเวลาการยุติความขัดแย้งอย่างชัดเจน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการเจรจาของหลายประเทศ ต่อนโยบาย Reciprocal Tariff ของสหรัฐอเมริกา ที่กำหนดกรอบระยะเวลา 90 วัน ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม นี้ ซึ่งฝ่ายไทยได้เริ่มการเจรจาแล้ว 1 รอบ ยังไม่ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าว ย่อมส่งผลถึงเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทย ไม่ว่าเป็นผลจากปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน การคมนาคมและการท่องเที่ยว ที่จะส่งผลถึงเศรษฐกิจของประเทศไทย และความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นอย่างมาก
ส่วนสถานการณ์ชายแดนกัมพูชา ขอให้คณะรัฐมนตรีทุกท่าน ร่วมกันติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมหามาตรการรองรับในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กระทบกระเทือนพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด
“สถานการณ์เช่นนี้ เสถียรภาพของรัฐบาล และความสามัคคีภายในประเทศของคนในชาติ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขอให้รัฐมนตรีทุกท่านต้องใกล้ชิดประชาชน สร้างความมั่นใจ และแก้ไขปัญหา ให้ทันการณ์”
ทั้งนี้ มีข้อสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ดังนี้
1.ด้านภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรม ข้ามประเทศ Transnational crimes ตามรายงานของ UNODC (UN on Drugs and Crime) ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้หารือเมื่อวาน ทั้งฝ่ายความมั่นคง การต่างประเทศ ด้านสื่อสารประชาสัมพันธ์ ที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยรัฐบาลขอย้ำถึงการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี เพื่อให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติสุข สำหรับประชาชนทั้งสองฝ่ายโดยเร็ว
2.ด้านความมั่นคงทางพลังงาน มอบให้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รับผิดชอบในการกำหนดมาตรการเตรียมพร้อม รับมือสำหรับพลังงานสำรอง และมาตรการช่วยเหลือประชาชน หากมีภาวะขาดแคลนหรือมีราคาที่สูงขึ้น ให้หามาตรการมารองรับไว้
3.ด้านเศรษฐกิจ และการเงิน การแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน มอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้รับผิดชอบ หารือหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน กำหนดมาตรการและเป้าหมายที่ชัดเจน
4.ด้านราคาพืชผลทางการเกษตร มอบให้ รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่จะต้องเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาโดยด่วน โดยเฉพาะราคาข้าว ที่จะต้องเร่งสรุปมาตรการเยียวยาแก่เกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงปัญหาการลักลอบนำเข้า สินค้าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ราคาพืชผลเกษตรภายในประเทศตกต่ำโดยขอให้กรมศุลกากร สรุปปัญหา และมาตรการในการแก้ไขปัญหา มาเสนอพร้อม กับมาตรการยกระดับราคาพืชผลเกษตรภายในสัปดาห์หน้า
5.ด้านปัญหายาเสพติด มอบให้ กระทรวงกลาโหม เตรียมจัดการประชุมด่วนระหว่างนายกรัฐมนตรี กับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บัญชาการตำรวจทุกจังหวัด เพื่อมอบนโยบายและกำชับมาตรการที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ขยายผล ต่อเนื่องจากมาตรการ Seal Stop Safe ภายในสัปดาห์หน้านี้
6.ด้านการท่องเที่ยว ที่เป็นเครื่องจักรสำคัญของการสร้างรายได้ และกระจายรายได้ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวๆ เร่งปรับมาตรการกระตุ้น ท่องเที่ยว ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ มาเสนอภายในสัปดาห์หน้า โดยขอให้เน้นย้ำการเสนอมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ที่เป็นรูปธรรมและเห็นผลได้ อย่างรวดเร็ว
7.ด้านค่าแรงขั้นต่ำ มอบให้กระทรวงแรงงาน เร่งนำมาตรการ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นำมาพิจารณาใน ครม. สัปดาห์หน้า เพื่อให้ทันขึ้นค่าแรงในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้