แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยจะลดลง แต่ประเทศจีนก็ยังมีความสำคัญสำหรับผู้ประกอบการสายการบินเพราะเป็นตลาดใหญ่ หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤติโควิด – 19 สายการบินต่างๆ ได้กลับมาทำการบินเข้าจีน และขยายเส้นทางบินเข้าจีนเพิ่ม การบินไทยก็เช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันทำการบินอยู่ 5 เส้นทาง คือ เซี่ยงไฮ้, ปักกิ่ง, เฉิงตู, คุนหมิง, กวางโจว ทำการบินไปยังจีนรวม 42 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ แต่ในช่วงตารางบินฤดูหนาว (Winter Season) ที่จะเริ่มประมาณปลายเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนมีนาคม การบินไทยจะเพิ่มเที่ยวบินไปยังจีน โดยเส้นทางบินกวางโจว เพิ่มจาก 7 เที่ยวบินเป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ปักกิ่ง เพิ่มจาก 7 เที่ยวบินเป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เช่นเดียวกับเส้นบินเฉิงตู คุนหมิงก็จะเพิ่มเที่ยวบินจาก 7 เที่ยวบินเป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

นอกจากนี้การบินไทยยังมีแผนเตรียมกลับไปบินเส้นทางบินเดิมที่เคยทำการบิน คือ เซี่ยเหมิน ฉงชิ่ง ฉางชา ทำการบิน เมืองละ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และเปิดเส้นทางบินใหม่ คือ อู่ฮั่น เซินเจิ้น จะทำการบิน 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยจะเริ่มทยอยเปิดทำการบินในช่วงตารางบินฤดูหนาว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะลดลงแต่การขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์การจำหน่ายตั๋วแบบ Network Airline การบินไทยจึงมั้นใจในการขยายเส้นบินเข้าจีนเพิ่ม ขณะเดียวกันประเทศจีนก็เป็นอีกประเทศที่ได้รับความสนใจในการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวยุโรป อินเดีย รวมถึงไทย โดยแหล่งท่องเที่ยวของจีนในแต่ละเมืองมีความน่าสนใจที่หลากหลาย ทั้งด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ
ล่าสุดได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับการบินไทยไปเยือนเซี่ยงไฮ้ หรือ ซ่างไห่ เป็นหนึ่งในสี่นครปกครองโดยตรงของประเทศจีน โดยการบินไทยทำการบิน 2 เที่ยวบินต่อวัน เรียกได้ว่าเป็นอีกเมืองที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเลือกเดินทางมาเที่ยวกันเยอะเช่นกันเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น การเดินทางมาเที่ยวจีนช่วงฤดูร้อน แม้คนไทยจะบอกว่าเป็นช่วงโลว์ซีซั่นก็ตาม แต่สำหรับชาวจีนแล้วเป็นช่วงไฮซีซั่นของเขาเลยก็ว่าได้เพราะเป็นช่วงปิดเทมอ ซึ่งจะเห็นชาวจีนพาครอบครัวมาเที่ยวกันจำนวนมาก มากกว่าช่วงฤดูหนาวอีก

มหานครเซี่ยงไฮ้นั้นมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง โดยการร่วมเดินทางกับการบินไทยครั้งนี้ในวันแรกที่เดินทางไปถึงเซี่ยงไฮ้ ประมาณบ่าย 4 โมง หลังจากรับประทานอาหารเย็นก็เดินทางเข้าที่พักโรงแรม Crowne Plaza Shanghai Nanjing Road ตั้งอยู่ถนนคนเดินนานจิงตง ก่อนเข้าพักเดินเก็บบรรยากาศที่ถนนคนเดินในค่ำคืนแรก



สำหรับโปรแกรมในวันที่สองของการเยือนเซี่ยงไฮ้เรามุ้งหน้าสู่หมู่บ้านโบราณจูเจียเจี่ยวนั้นเป็นเมืองโบราณริมน้ำที่ได้รับฉายาว่า “เวนิสแห่งเซี่ยงไฮ้” อายุกว่า 1,700 ปี ถึงแม้อากาศจะร้อน แต่ก็สามารถผ่อนคลายไปกับการล่องเรือ และเดินชอบสถาปัตยกรรมโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่ราชวงศ์หมิงให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศย้อนยุค อีกจุดเช็คอินที่หมู่บ้านโบราณ คือ สะพานฝางเซิง (Fang sheng) เป็น สะพานหินที่ยาวที่สุดในเซี่ยงไฮ้ เดินช้อปปิ้งที่ถนนนอร์ทสตรีท ซึ่งเป็นถนนอายุเก่าแก่กว่า 400 ปี ที่นี่มีของที่ระลึกให้ได้ช้อปกันหลากหลายอย่าง และยังมีไฮไลท์อื่นๆ ให้เช็คอินอีกมากมาย

ช่วงบ่ายเดินเที่ยวย่านซินเทียนตี้ ชมอาคารเก่า “ซือคูเหมิน” เป็นสถาปัตยกรรมแบบชิคูเมนที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันตกกับจีนเข้าด้วย อันเป็นเอกลักษณ์ของเซี่ยงไฮ้ ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐสีเทา 2 ชั้น อาคารซือคูเหมินเคยเป็นสถานที่การประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 1 ซึ่งการประชุมครั้งนี้ก็ได้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้น โดยในย่านซินเทียนตี้นั้นมีหลายมุมที่สวยงามให้ได้ถ่ายรูป ขณะเดียวก็มีร้านอาหาร ร้านกาแฟให้ได้นั่งชิวพักผ่อนตามอัธยาศัย และมีร้านค้า ร้านขายของแบนรด์เนมให้ได้ช้อปปิ้งกันอีกด้วย
ช่วงเย็นก็ไม่พลาดที่จะเดินเล่นพร้อมกับช้อปปิ้งที่ถนนคนเดินนานจิงตง หรือที่รู้จักกันในชื่อ ถนนนานกิง (Nanjing Road) เป็นถนนช้อปปิ้งที่เก่าแก่และคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ เป็นแหล่งรวมร้านค้าแบรนด์ เนม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และของกินหลากหลาย รวมถึงของฝากของที่ระลึกก็สามารถหาซื้อได้ในย่านถนนคนเดิน หลายคนไม่พลาดที่จะแวะร้าน POP MART และเมื่อเดินไปตลอดสุดถนนก็จะถึงเดอะบันด์ (The Bund)
เดอะบันด์ เป็นชื่อถนนสายหนึ่ง เลียบแม่น้ำหวงผู่ (Huangpu) เป็นที่อยู่อาศัย และประกอบธุรกิจของชาวตะวันตก ที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็นถนนสายประวัติศาสตร์เพราะว่าในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน และการค้าของเซี่ยงไฮ้ เป็นที่ตั้งของธนาคาร บริษัทต่างชาติ และในอดีตยังเป็นที่ตั้งของสถานทูตต่างๆ อีกด้วย ดังนั้นจึงจะเห็นอาคารสวยงาม ทั้งสไตล์โคโลเนียลยุคเก่าแก่ สไตล์คลาสสิก สไตล์นีโอคลาสสิก (Neoclassical) สไตล์โกธิก (Gothic) สไตล์บาโรก (Baroque)

โดยในย่านเดอะบันด์นั้นจะเห็นนักท่องเที่ยวชาวจีน นักท่องเที่ยวต่างชาติมาถ่ายรูป และยังเป็นที่นิยมของหนุ่ม สาวชาวจีนที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายพรีเวดดิ้ง ซึ่งมีหลายมุมที่สวยงาม โดยเฉพาะมุมฝั่งตรงข้ามเดอะบันด์ที่จะเห็นวิวแม่น้ำหวงผู่และตึกสมัยใหม่ในย่านลู่เจียจุ่ย ซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่หรูของเซี่ยงไฮ้มีตึกสูงตั้งตระหง่านหลายตึก ไม่ว่าจะเป็น เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์, ศูนย์การเงินโลกเซี่ยงไฮ้, จินเหมาทาวเวอร์, และมีแลนด์มาร์คสำคัญ คือ หอไข่มุกตะวันออก (Oriental Pearl Tower)

สำหรับในวันที่สามของการเยือนมหานครเซี่ยงไฮ้ในช่วงเช้าเราเริ่มกันที่ Bicester Village Shanghai เป็นเอาท์เล็ตสไตล์ Village แห่งเดียวในเซี่ยงไฮ้ มีร้านค้ากว่า 200 แบรนด์ให้ได้เลือกช้อปกัน หลังจากช้อปปิ้งเสร็จได้เวลารับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร Mr. Su Seafood มื้อนี้เป็นเมนูซีฟู๊ดสด ส่วนในช่วงบ่ายเราไม่พลาดโอกาสแวะไปเช็คอินที่อาคารพันต้นไม้ ภายในอาคารเป็นห้างสรรพสินค้า ความเก๋ของที่นี่คือการปลูกต้นไม้บนอาคาร 1,000 ต้น จุดนี้ใช้เวลาไม่นานครับสำหรับแวะถ่ายรูปเพียง 15 – 20 นาที จากนั้นก็แวะจิบกาแฟยามบ่ายพร้อมเช็คอินที่ร้านสตาร์บัคส์เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งสาขาแห่งนี้ยังเป็นโรงงานคั่วกาแฟอีกด้วย นั่งดื่มกาแฟก็จะได้กลิ่นหอมของการคั่วกาแฟอีกด้วย ส่วนในช่วงเย็นหลังจากทานข้าวมื้อเย็นก็ไปเดินเล่นที่ถนนนานกิง


ส่วนวันที่สี่เป็นวันสุดท้ายของการเยือนเซี่ยงไฮ้ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ก็ไม่พลาดที่จะต้องไปมู ณ “วัดพระหยก” เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งไม่ได้มีเพียงความงดงามทางศิลปะเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอีกด้วย ซึ่งนักท่องเที่ยวนอกจากมาชมความงามของวัดแล้วยังมากราบไหว้ขอพรพระพุทธไสยาสน์หยกขาว องค์แรกยาวประมาณ 96 เมตร องค์ที่สองสูงประมาณ 190 เมตร ทั้งสององค์ถูกอัญเชิญมาจากประเทศเมียนมาร์ ดูสง่างามและศักดิ์สิทธิ์มากครับ วัดแห่งนี้เพื่อนบอกว่าเคยมาขอพรแล้วประสบความสำเร็จด้านหน้าที่การงานจึงได้มีโอกาสกลับมาอีกครั้งในทริปนี้ หลังนั้นก็แวะไปรับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร Canton 8 ช่วงบ่ายเดินทางไปท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยงไฮ้ผู่ตง ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ เป็นอันจบทริปเยือนเซี่ยงไฮ้ในช่วงฤดูร้อน