ปตท.สผ. เข้าซื้อหุ้นของเชฟรอน ในแปลง A-18 พื้นที่ MTJDA เสริมมั่นคงพลังงานไทย

ผู้ชมทั้งหมด 178 

ปตท.สผ. ทุ่ม 450 ล้านดอลลาร์ สรอ. เข้าถือสิทธิ 50% ในแปลง A-18 ของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJDA) ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย และส่งเสริมการเติบโตของบริษัท

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่าบริษัท พีทีทีอีพี จอยท์ ดีเวลลอปเมนท์ เอสจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement – SPA) เพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท Hess International Oil Corporation ที่มีบริษัทย่อยถือสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 50 ในแปลง A-18 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย–มาเลเซีย (Malaysia–Thailand Joint Development Area – MTJDA) ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตกระแสไฟฟ้าในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย การซื้อขายดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ผู้ขายคือบริษัท Hess (Bahamas) Limited และ Hess Asia Holdings Inc. ที่มีเชฟรอนเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด จากการควบรวมกิจการระหว่าง Chevron และ Hess

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีผลสมบูรณ์แล้ว และจะสามารถเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมและปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติให้กับบริษัทได้ทันที รวมทั้งยังส่งผลให้ ปตท.สผ. ถือสัดส่วนการลงทุนในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย–มาเลเซีย เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีการลงทุนอยู่แล้วในแปลง B-17-01 ในสัดส่วนร้อยละ 50

ปัจจุบัน แปลง A-18 ผลิตก๊าซธรรมชาติได้ในอัตราประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งเข้าประเทศไทยในอัตรา 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 6 ของความต้องการใช้ก๊าซในประเทศไทย และส่งให้กับประเทศมาเลเซียในอัตรา 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

“ปตท.สผ. ยินดีที่สามารถขยายการดำเนินงานเพิ่มเติมใน MTJDA เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพปิโตรเลียม และมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ รวมถึงการเติบโตให้กับบริษัท นอกจากแหล่งก๊าซฯ ที่มีการผลิตในปัจจุบันแล้ว ยังมีการค้นพบแหล่งก๊าซฯ ใหม่อีกหลายแหล่งในแปลงดังกล่าว และอยู่ระหว่างรอการพัฒนาเพื่อนำพลังงานขึ้นมาใช้ประโยชน์ ซึ่งการถือสัดส่วนการลงทุนของทั้ง 2 แปลง จะส่งผลให้สามารถบริหารจัดการร่วมกันแบบบูรณาการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานของทั้งสองประเทศได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วยิ่งขึ้น” นายมนตรี กล่าว

ภายหลังเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ บริษัทผู้ดำเนินการมีแผนจะเจาะหลุมผลิตและติดตั้งแท่นหลุมผลิตเพิ่มเติม รวมถึงก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ และคอนเดนเสท เพื่อเร่งพัฒนาและผลิตก๊าซฯ จากแปลงดังกล่าวต่อไป

MTJDA ตั้งอยู่บริเวณตอนล่างของอ่าวไทย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 7,250 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งทรัพยากรก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสทที่สำคัญของประเทศไทยและมาเลเซีย ปัจจุบันแปลง A-18 ประกอบด้วยแหล่งก๊าซฯ เช่น จักรวาล ภูมี สุริยา บุหลัน และบุหลันใต้ ซึ่งเริ่มการผลิตตั้งแต่ปี 2548 ส่วนแปลง B-17-01 ซึ่งบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ถือสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 50 ประกอบด้วยแหล่งก๊าซฯ เช่น มูด้า ตาปี ตันจุง อมฤต เจ็งก้า เมลาติ และแอนดาลัส ซึ่งเริ่มการผลิตก๊าซฯ ตั้งแต่ปี 2553 ปัจจุบันสามารถผลิตก๊าซฯ ส่งเข้าประเทศไทยและมาเลเซียในอัตราประมาณ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน