ผู้ชมทั้งหมด 79
ปตท. ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 กำไร 21,533 ล้านบาท ลดลง 39.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่งวด 6 เดือนปี68 กำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท ลดลง 30.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จาก EBITDA ที่ลดลง รับรู้ผลขาดทุนสต๊อกนํ้ามันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือของกลุ่มธุรกิจการกลั่นปรับลดลง พร้อมประเมินทิศทางไตรมาส 3 ปี2568 ชี้เศรษฐกิจโลกยังขยายต่อต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวลดลง คาดว่า ราคาน้ำมันดิบทั้งปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 65 – 75 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์ คาดว่า เฉลี่ยอยู่ที่ 4.1 – 5.1 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล
สภาวะเศรษฐกิจโลกในครึ่งแรกของปี 2568 แม้ว่าจะยังขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน แต่จากสถานการณ์ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการค้าโลก จากนโยบายการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจและราคาพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบใน ครึ่งแรกของปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 71.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อ่อนตัวลงจากในครึ่งแรกของปี 2567 ที่ระดับ 83.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินธุรกิจของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และบริษัทย่อย ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 มีผลการดำเนินงานลดลงตามราคาขายที่ลดลง ตามราคาน้ำมันอ้างอิงในตลาดโลก อีกทั้ง ราคาน้ำมันที่ลดลงดังกล่าว ยังส่งผลให้ ปตท. และบริษัทย่อย มีผลขาดทุนสต๊อกน้ามันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ (NRV) ประมาณ 5,800 ล้านบาท ขณะที่ในครึ่งแรกของปี 2568 มีผลกำไรประมาณ 5,400 ล้านบาท ประกอบกับค่าเงินบาทเฉลี่ยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 36.4 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ในครึ่งแรกของปี 2568 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 33.7 บาทต่อดอลลาร์ฯ ทำให้รายได้ที่อ้างอิงเงินสกุลเหรียญสหรัฐปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มปตท. มีการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการทำ Natural Hedge ซึ่งช่วยจำกัดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อการดำเนินงานในภาพรวม โดยจะมีการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐ

นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ระบุว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2568 ปตท.และบริษัทย่อย มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 78,793 ล้านบาท ลดลง 36,541 ล้านบาท หรือ 31.7% จากไตรมาส 2/67 ที่มีจำนวน 115,334 ล้านบาท
โดยสาเหตุหลักมาจากการดำเนินงานที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ผลการดำเนินงานลดลงจากราคาขายและปริมาณขายเฉลี่ยลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ประกอบกับ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น มีผลการดำเนินงานลดลง โดยธุรกิจการกลั่น ผลการดำเนินงานลดลงเนื่องจากไตรมาสนี้มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิและมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ โดยในไตรมาส 2/68 ขาดทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 2/67 กำไรประมาณ 2,800 ล้านบาท แม้ว่ากำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) และปริมาณขายเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี ผลการดำเนินงานลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของกลุ่มอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ที่ปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ มีกำไรต่อหน่วยลดลงจากส่วนต่างราคาซื้อ-ขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจจัดหาและค้ำประกันก๊าซฯ กำไรขั้นต้นลดลงจากต้นทุนก๊าซฯ ที่ปรับลดลงน้อยกว่าราคาขายเฉลี่ยให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง ขณะที่ธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากต้นทุนที่ลดลง เนื่องจากในไตรมาส 2/67 มีผลกระทบจากการเริ่มใช้นโยบาย Single Pool ในการคำนวณราคาก๊าซฯ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 67
ขณะที่ ไตรมาส 2/68 กำไรสุทธิ 21,533 ล้านบาท ลดลง 13,936 ล้านบาท หรือ 39.3% จากใน ไตรมาส 2/67 ที่มีจำนวน 35,469 ล้านบาท เป็นผลจาก EBITDA ที่ลดลง ประกอบกับในไตรมาส 2/68 ยังมีการรับรู้รายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-recurring Items) สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกำไรประมาณ 4,200 ล้านบาท โดยหลักมาจาก บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) หรือ TOP ซึ่งมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมจากการซื้อกิจการในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของการเข้าซื้อและควบรวมโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่มเชลล์ในสิงคโปร์ ขณะที่ในไตรมาส2/67 มีกำไรประมาณ 5,400 ล้านบาท โดยหลักมาจาก: กำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ให้ บริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด (PE LNG) ของ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) กำไรจากการซื้อคืนหนี้ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) (PTTGC) และ TOP

ส่วนผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 2568ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 172,320 ล้านบาท ลดลง 61,731 ล้านบาท หรือ 26.4% จากครึ่งแรกของปี 67 ที่มีจำนวน 234,051 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นผลดำเนินงานลดลงเนื่องจากมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิและมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ 5,800 ล้านบาท จากที่กำไร 5,400 ล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 67
นอกจากนี้ กำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ยังลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง แม้ว่าปริมาณขายจะเพิ่มขึ้น กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมลดลงตามราคาขายน้ำมันดิบในตลาดโลก ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่มีกำไรขั้นต้นลดลงตามราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลงตามราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่ใช้อ้างอิง
ขณะที่กำไรสุทธิในครึ่งปีแรกปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท ลดลง 19,589 ล้านบาท หรือ 30.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 64,437 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการปรับแผนการลงทุน โดยมีกลยุทธ์มุ่งเน้นธุรกิจที่มีอยู่เดิม รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งภายในกลุ่ม ภายใต้นโยบายการเงินที่เข้มงวดทําให้ฐานะทางการเงินของกลุ่ม ปตท.ยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นอยู่ในระดับสูงที่ 413,902 ล้านบาท ณ 30 มิถุนายน 2568 ขณะที่ระดับหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลดลง ตามกลยุทธ์การลดภาระหนี้ที่ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ปตท. ประเมินว่า มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ปี2568 โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญกับเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากต้นทุนด้านภาษีศุลกากรขาเข้าที่สูงขึ้น จากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กดดันการบริโภค อย่างไรก็ตาม คาดว่านโยบายด้านภาษีและงบประมาณ (One Big Beautiful Bill Act) จะช่วยส่งเสริม การลงทุนภาคเอกชน สาหรับเศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญปัจจัยกดดันจากเงินฝืด การบริโภคที่ซบเซาวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ ประกอบกับผลกระทบจากนโยบายกีดกันสินค้าถ่ายลา (Transshipment) ของสหรัฐฯ ในขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศ ที่ใช้เงินสกุลยูโรมีแนวโน้มขยายตัว จากปัจจัยกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลง
อีกทั้ง การผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องของ ECB และปัจจัยสนับสนุนจากการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างกลุ่ม ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรและสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าที่แม้บรรลุไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังคงเปราะบาง ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ประกอบกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เช่นสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ
โดยตามรายงานของ S&P Global ณ เดือนกรกฎาคม 2568 ความต้องการใช้น้ามันของโลกในปี 2568 คาดว่า จะเพิ่มขึ้น 0.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน (MMBD) ไปอยู่ที่ระดับ 105.6 MMBD ตามเศรษฐกิจโลกที่ยังคงขยายตัว แม้ถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของการค้าโลก ในขณะที่อุปทานมีแนวโน้มล้นตลาดมากขึ้น ทั้งจากกลุ่ม OPEC+ ที่มีแผนเร่งการผลิตเร็วขึ้น และจากกลุ่ม Non-OPEC+
ทั้งนี้ คาดว่าราคาน้ำมันดิบในปี 2568 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 65 – 75 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่า จะเฉลี่ยอยู่ที่ 4.1 – 5.1 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล

ขณะที่เศรษฐกิจไทยในไตรมาส3 ปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวลดลงจากไตรมาส 2 ปี2568 โดยถูกกดดันจากหลายปัจจัยสำคัญ ทั้งการส่งออกสินค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากขึ้น จากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากนักท่องเที่ยวระยะไกลที่มีแนวโน้มลดลง และนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน รวมถึงแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนที่อ่อนแรงลงตามการเติบโตของรายได้ที่ลดลง โดยเฉพาะในภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวและภาคการผลิต
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในระยะนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงตามการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณก่อนปีงบประมาณ 2568 ทั้งนี้ แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงภายนอกจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และความขัดแยังทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจรุนแรงขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ณ เดือนมิถุนายน 2568 ประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ที่ระดับ 2.3% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม ณ เดือนเมษายน 2568 ที่ระดับ 2.0%