![]()
“พิพัฒน์” ลั่นชง ครม. 9 ธ.ค.นี้ เคาะหลักการซื้อคืนสัมปทานรถรถไฟฟ้าทุกสายเป็นของรัฐ ชี้มี 2 แนวทางจ่ายคืนเอกชน ระบุเจรจาเบื้องต้นทั้ง BTS และBEM ไม่ขัดข้อง
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จาการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) เป็นผู้ดำเนินการศูนย์การบริหารจัดการระบบรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single Ownership) เพื่อกำกับดูแลระบบรถไฟฟ้าทุกสายให้มีเอกภาพด้านนโยบายค่าโดยสาร และการเชื่อมต่อระบบตั๋วร่วม (Common Ticket) ลดความซับซ้อนและภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวันกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงแล้วก็นับเป็นสารตั้งต้นในการเดินทางระบบรางที่จะพัฒนาให้ครอบคลุมรถไฟฟ้าทุกสายทั้งกรุงเทพฯ ซึ่งเรื่องนี้ได้มอบหมายให้ รฟม.) ไปเร่งดำเนินการศึกษาข้อมูลบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวันในราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่า
นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนแนวทางการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าทุกสายมาเป็นของรัฐนั้น ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือ กับรฟม. กรมการขนส่งทางราง (ขร.) สำนักงานสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าการซื้อคืนรถไฟฟ้าจะมีวิธีการอย่างไรที่จะไม่ให้กระทบกับเพดานหนี้สาธารณะ เพราะกระทรวงคมนาคมพยายามที่จะไม่ให้งานหรือโครงการขนาดใหญ่ไปกระทบกับหนี้สาธารณะ ซึ่งต้องดีไซน์ออกมาและจะหาเม็ดเงินจากที่ไหนมาซื้อคืน โดยจะยังไม่ได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ แต่ในเบื้องต้นจะให้ รฟม.เป็นผู้กำกับดูแลรถไฟฟ้าทุกสายรายเดียว ดังนั้นตนจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ เพื่อขออนุมัติในหลักการว่าสามารถซื้อคืนรถไฟฟ้าทุกสายได้ เพื่อให้เกิดการสตาร์ทนับหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการในรายึงละเอียดต่อไป
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาได้มีการหารือกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับแนวทางการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าเห็นว่ามี 2 แนวทางที่สามารถทำได้ คือ 1.การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย(TFF) และนำเงินที่ได้ไปซื้อคืนรถไฟฟ้า และ 2.ให้สัมปทานเอกชนในเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เอกชนนำสิทธิ์สัมปทานไปค้ำประกันการกู้เงินจากสถาบันการเงิน และจ่ายคืนหนี้ให้กับตัวเอง เบื้องต้นจะให้สัมปทานในการบริหารการเดินรถไม่เกิน 30 ปี รฟม.โดยเอกชนจะเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารนำส่งรัฐ และรัฐจะจ่ายค่าจ้างเดินรถให้ พร้อมทยอยคืนค่าสัมปทานและดอกเบี้ย
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการเจรจากับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เกี่ยวกับแนวทางการซื้อคืนรถไฟฟเหรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า มีการคุยกันเบื้องต้นบ้างแล้วก็ไม่ขัดข้องที่รัฐจะซื้อคืน แต่ต้องขึ้นอยู่กับราคาที่เหมาะสมที่ทั้ง 2 ฝั่งรับได้ เพราะในมุมของนักธุรกิจก็ต้องไม่เสียเปรียบ และต้องมีกำไร ขณะที่รัฐทำได้แค่เสมอตัวและขาดทุนเท่านั้น เพราะรัฐต้องให้การบริการที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย เมื่อซื้อมาแล้วอย่าหวังว่าจะมีกำไร หากทำให้ขาดทุนน้อยถือว่าเก่งแล้ว เพรารัฐเก็บภาษีจากคนไทย แต่นักธุรกิจไม่ได้เก็บภาษีจึงต้องทำเพื่อผลประกอบการที่ดี เพราะลงทุนมาแล้ว ทั้งนี้จะต้องเร่งตกลงราคากันให้จบและเซ็นสัญญาให้เรียบร้อยก่อน ส่วนเรื่องการจ่ายเงินคืนก็ตามหลังได้
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆนั้นคงไม่ทันใช้นโยบายค่าโดยสาร 40 บาทตลอดวันในรัฐบาลชุดนี้ เพราะหากมีการยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ก็คงไม่ทันแน่นอน แต่รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ก็จะเป็นสารตั้งต้นที่จุดสตาร์ทไว้ให้ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาก็สามารถหยิบไปดำเนินการต่อได้ แต่หากไม่เอาจะรื้อทิ้งก็ไม่ใช่ปัญหา