“พิพัฒน์” เดินหน้าวางแนวทางบริหาร รฟท. ให้กลับมาแข็งแรง ยั่งยืน ไม่ขาดทุน

Loading

พิพัฒน์” เดินหน้าคลี่คลายปัญหาบุคลากร รฟท. ที่สะสมมานาน พร้อมวางแนวทางบริหารรฟท. ให้กลับมาแข็งแรง ยั่งยืน ไม่ขาดทุน สร.รฟท. ขอให้รัฐบาลทบทวนมติครม.ให้สามารถรับพนักงานได้ไม่เกิน 5% ยันไม่เพียงพอรองรับรถไฟทางคู่เปิดบริการ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) โดยมี นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังของ รฟท. ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะตำแหน่งด้านความปลอดภัยในการเดินรถ เช่น พนักงานขับรถจักร ช่างเครื่อง พนักงานควบคุมการเดินรถ และเจ้าหน้าที่รักษารถ ที่ปัจจุบันต้องทำงานหนักต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุด และปฏิบัติงานล่วงเวลาอย่างต่อเนื่อง

นายพิพัฒน์ เปิดเผยว่า ได้รับฟังข้อเสนอจาก สร.รฟท. ซึ่งขอให้รัฐบาลทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ที่กำหนดให้ รฟท. สามารถรับพนักงานเพิ่มได้ไม่เกินร้อยละ 5 จากจำนวนผู้เกษียณอายุ ซึ่งไม่เพียงพอกับภารกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 เปิดให้บริการแล้ว และทางคู่ระยะที่ 2 รวมถึงทางคู่สายใหม่จะทยอยเปิดใช้งานในช่วงปี 2572

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ได้มอบให้ รฟท. และสหภาพแรงงานฯ ร่วมกันจัดทำแผนอัตรากำลังให้เหมาะสมกับภารกิจ พร้อมนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเสริม ลดภาระงานซ้ำซ้อน และควบคุมให้การทำงานเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร

นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำให้ รฟท. พิจารณานำค่าล่วงเวลาของพนักงานไปใช้ในการจ้างบุคคลภายนอกเพิ่มเติม เพื่อแบ่งเบาภาระงาน และให้บรรจุนักเรียนที่จบจากโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟเข้าทำงานครบทุกปีการศึกษา เพื่อเสริมกำลังคนรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของทรัพยากร เช่น รถจักร รถพ่วง และตู้โดยสาร นายพิพัฒน์ ได้สั่งการให้ รฟท. เร่งจัดทำแผนบริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ โดยต้องมองเห็นแนวทางที่ทำให้กิจการ “มีกำไรและไม่ขาดทุน” พร้อมยืนยันว่ากระทรวงคมนาคมพร้อมสนับสนุนการจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น โดยไม่ให้กระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ

นอกจากนี้ ยังได้เน้นให้ รฟท. พิจารณาราคาเช่าทรัพย์สินให้สอดคล้องกับราคาตลาดและแนวโน้มในอนาคต เพื่อเพิ่มรายได้และนำกลับมาพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

“เราต้องทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ทั้งในด้านบุคลากรและการบริหารจัดการ เพื่อให้พนักงานมีขวัญกำลังใจ และให้กิจการเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพาการกู้เงินจากรัฐอีกต่อไป” นายพิพัฒน์ กล่าว