“พิพัฒน์” เลื่อนคืนผิวจราจรบริเวณถนนสามเสนทรุดตัว ย้ำต้องรื้ออาคาร สน.สามเสน

Loading

พิพัฒน์” แจงเหตุเลื่อนคืนผิวจราจรบริเวณถนนสามเสนทรุดตัว ย้ำต้อง รื้ออาคาร สน.สามเสน ให้เสร็จก่อน เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง) และนายปัญญา ชูพานิช รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง) ร่วมลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขซ่อมแซมถนนสามเสนทรุดตัว บริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา โดยมี นายมนตรี เดชาสกุลสม ประธานกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการ รฟม. คณะผู้บริหาร รฟม. ผู้รับจ้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) และที่ปรึกษาควบคุมงาน เข้าร่วมให้ข้อมูลและรายงานความคืบหน้าการแก้ไขสถานการณ์

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนภายใต้หลักความปลอดภัยสูงสุด พร้อมทั้งกำชับให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานความคืบหน้าทุกระยะ โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหานี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อคืนความปลอดภัยให้กับพื้นที่สำคัญใจกลางเมือง สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ซึ่งจากการลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าพบว่า ทางคณะทำงานตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของอาคารและบริเวณโดยรอบ กรณีเหตุภัยพิบัติถนนทรุดตัวบริเวณถนนสามเสนทั้งสองฝั่ง ตั้งแต่แยกวชิรพยาบาลถึงแยกซังฮี้ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ได้ประเมินสภาพอาคาร สน.สามเสน ที่เกิดการทรุดตัวและมีรอยแตกร้าวเพิ่มขึ้นแล้ว เห็นควรให้รื้อถอนอาคาร สน.สามเสน ทันที ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็มีความเห็นให้รื้อถอนอาคาร สน.สามเสน เช่นเดียวกัน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญสูงสุด

อย่างไรก็ตามการรื้อถอนอาคารนี้อาจส่งผลให้การดำเนินงานคืนผิวจราจรต้องยืดระยะเวลาออกไปจากแผนเดิม ดังนั้นกระทรวงคมนาคมและกทม. ต้องขออภัยประชาชนที่คืนผิวจราจรล่าช้าด้วย ทั้งนี้จะมีการประเมินสถานการณ์ความคืบหน้าเพื่อหาข้อสรุปกรอบระยะเวลามาชี้แจงโดยเร็ว

สำหรับการดำเนินงานนั้น รฟม. และผู้รับจ้างงานโยธาโครงการฯ ได้ปรับแผนการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่จำกัดอย่างมากเพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานทุกคน โดยการรื้อถอนอาคาร สน.สามเสน จะดำเนินการจากโครงสร้างฝั่งซ้ายของอาคารก่อน (ติดกับแยกวชิรพยาบาล) ด้วยเทคนิคการรื้อถอนที่ระมัดระวัง ใช้เครนที่มีแขนยาวขึ้นเพื่อใช้รื้อโครงสร้างจากชั้นบนไล่ระดับลงล่าง ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robot) ในการตัดโครงสร้าง เช่น ผนังและคอนกรีต เพื่อหลีกเลี่ยงแรงสั่นสะเทือนที่อาจส่งผลกระทบต่ออาคารและโรงพยาบาล

ขณะที่พื้นที่ฝั่งขวาของอาคาร สน.สามเสน จะชะลอการรื้อถอนโครงสร้างอาคารไว้ก่อน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานเร่งทำ Grouting โดยใช้สารเคมีเฉพาะทางเพื่อปรับปรุงสภาพของชั้นดินด้านล่างให้มีเสถียรภาพมากขึ้น และเมื่อดำเนินการทำ Grouting แล้วเสร็จ จึงจะกลับมาถมทรายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 เมตร ก่อนปูยางเพื่อคืนผิวจราจรต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินงานสร้างคืนอาคาร สน.สามเสน จะอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับจ้างงานโยธาโครงการฯ

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคม ได้จัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อร่วมกันตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์นี้ ดังนั้นขอรอให้ทราบเหตุที่แท้จริงก่อน จึงจะสามารถบอกได้ โดยหากข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นความผิดพลาดของผู้รับจ้างงานโยธาโครงการฯ ก็ต้องมีความรับผิดชอบตามสัญญา ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะติดตามอย่างใกล้ชิดและแจ้งข้อเท็จจริงให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป

ในส่วนของรถไฟฟ้าสายที่เปิดให้บริการแล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ามีการกำกับการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย โดยผู้รับสัมปทาน/ผู้ประกอบการเดินรถทุกรายได้มีการตรวจสอบในทุกๆ เช้า ก่อนการเปิดให้บริการเดินรถอยู่แล้ว ติดตามข้อมูลข่าวสารของ รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044