รฟท. จับมือ กทท. ยกระดับขนส่งสินค้าทางราง ตั้งเป้าส่งตู้สินค้าไปท่าเรือแหลมฉบัง 2 ล้านทีอียู ภายใน 10 ปี

ผู้ชมทั้งหมด 303 

รฟท. จับมือ กทท. ยกระดับระบบขนส่งสินค้าทางราง ตั้งเป้าส่งตู้สินค้าไปท่าเรือแหลมฉบัง 2 ล้านทีอียู ภายใน 10 ปี การท่าเรือฯ เดินหน้าจัดหาเครื่องจักรยกตู้สินค้า ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คาดใช้งบ 900 ล้าน ด้านผู้การรฟท. เร่งจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้า 946 คัน คาด PPP เอกชนร่วมทุนบริหาร ICD ลาดกระบังเข้าครม. ได้ในปีนี้

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) โดยระบุว่า รฟท. และ กทท.ในฐานะรัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับของกระทรวงคมนาคม ต่างมีบทบาทสำคัญในการให้บริการด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ทั้งในรูปแบบขนส่งทางรางและทางน้ำ ซึ่งมีข้อได้เปรียบในแง่ต้นทุนพลังงานที่ต่ำ ความปลอดภัยสูง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าระบบขนส่งรูปแบบอื่น อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายการขนส่งของภาครัฐ ที่มุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งไปสู่ระบบที่ยั่งยืนมากขึ้น จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้ขึ้น

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรฟท. กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง เพื่อเชื่อมโยงกับฐานการผลิตทั้ง ภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรทั่วประเทศ มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากการขนส่งทางถนนไปสู่ระบบรางที่มีศักยภาพในการรองรับปริมาณการขนส่งได้มากกว่า ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการปล่อยมลพิษ เพื่อร่วมกันยกระดับศักยภาพระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้ทันสมัยและยั่งยืน โดยมุ่งส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน และบรรเทาความแออัดของการจราจรบนท้องถนน

“การเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนไปสู่ระบบรางและทางน้ำมีต้นทุนต่ำกว่า และสามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือครั้งนี้จะใช้โครงข่ายระบบรางเป็นกลไกหลัก โดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางทะเลของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมการใช้บริการขนส่งทางรางผ่านท่าเรือระนอง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคอันดามันด้วย” นายวีริศ กล่าว

นายวีริศ กล่าวว่า ในปี 2568 คาดว่า รฟท. จะมีการขนส่งสินค้าจากรถไฟทางไกลผ่าน ย่านกองเก็บตู้สินค้า (Container Yard : CY) ไปท่าเรือแหลมฉบังราว 7 หมื่นทีอียูต่อปี ส่วนสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง ลาดกระบัง หรือ ไอซีดี ลาดกระบัง (Inland Container Depot : ICD) นั้นมีปริมาณตู้สินค้า 1.3 ล้านทีอียู และมีการใช้รถไฟขนส่งไปยังท่าเรือแหลมฉบังประมาณ 6.5 แสนทีอียู หรือ 40% ที่เหลือขนส่งทางรถยนต์

โดยโครงการ ICD ลาดกระบังนั้นทางรฟท.ได้มีการศึกษารูปแบบการร่วมลงทุนเอกชน (PPP) ขณะนี้ได้เสนอไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) พิจารณา และคาดว่าจะสามารถเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ภายในปีนี้ ซึ่งเมื่อมีเอกชนเข้ามาบริหารตามเงื่อนไขของสัญญาจะเพิ่มปริมาณการขนส่งทางรางจาก ICD ไปท่าเรือแหลมฉบังไม่น้อยกว่า 50% ส่วนรายได้จากการขนส่งสินค้าอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท และเพื่อเพิ่มรายได้จากการขนส่งสินค้า รฟท. มีแผนจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้า 946 คัน มูลค่ากว่า 2.45 พันล้านบาท

ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการกทท. กล่าวว่า การลงนามร่วมกับรฟท. นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบขนส่งสินค้าทางรางของไทย โดยทั้งสองหน่วยงานมีการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงระหว่างกันตั้งแต่ปี 2538 จากการขนส่งสินค้าผ่านสถานี ICD ซึ่งปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบังมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการยกขนตู้สินค้าทางรถไฟด้วยโครงการ SRTO มีปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟมากกว่า 5.2 แสนทีอียูต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการลงนาม MOU ระหว่างสองหน่วยงานนั้นจะช่วยให้สามารถรองรับปริมาณการขนส่งตู้สินค้าได้ 2 ล้านทีอียูต่อปี ภายในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งจะช่วยลดภาระการขนส่งทางถนน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางรางในระดับภูมิภาค ยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า ลดความหนาแน่นบนเส้นทางคมนาคม ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่นใจให้กับ ผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ในทุกมิติ

ทั้งนี้การดำเนินงานเพื่อให้สามารถเป็นไปตามเป้าหมายขนส่งสินค้าที่ 2 ล้านทีอียูต่อปี ภายใน 10 ปีนั้น ทางกทท. จะต้องลงทุนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องจักร อุปกรณ์ยกขนตู้คอนเทนเนอร์ SRTO ในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 900 ล้านบาท เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะเพิ่มขีดความสามารถจาก 500,000-800,000 ทีอียู ภายใน 3 ปี ในส่วนของท่าเรือแหมฉบัง ระยะที่ 3 มีส่วนของการบริการตู้คอนเทนเนอร์ หรือ SRTO ด้วย คาดว่าจะรองรับปริมาณได้อีกไม่น้อยกว่า 1 ล้านทีอียู

นอกจากนี้ ความร่วมมือยังครอบคลุมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมขนส่ง ตลอดจนการดำเนินงานภายใต้หลักความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ และสร้างความเชื่อมั่นในระบบขนส่งทางรางให้เป็นทางเลือกหลักของประเทศในอนาคต ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 10 ปี พร้อมกำหนดเป้าหมายรายปีอย่างชัดเจน มีระบบติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผลสูงสุดทั้งในระดับองค์กร ผู้ประกอบการ และประชาชนในภาพรวม