![]()
รฟท. เร่งเครื่องรถไฟทางคู่เฟส 2 เตรียมเข้าครม. ธ.ค. 68 พร้อมกางแผนปี 69 วางเป้ารายได้จากการบริหารทรัพย์สินเพิ่ม 20% เพิ่มรายได้ขนส่งสินค้า 10-11% ลุ้น 25 พ.ย.นี้ บอร์ดเคาะ SRTA เช่าที่ดิน 10 แปลงบริหารเชิงพาณิชย์
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 (เฟส 2) จำนวน 6 เส้นทาง กรอบวงเงินรวม 297,924 ล้านบาท แบ่งเป็นเส้นทางสายใต้ 3 เส้นทาง ประกอบด้วย 1.ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร กรอบวงเงิน 30,422 ล้านบาท 2.ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร กรอบเงิน 66,270 ล้านบาท 3.ชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร กรอบวงเงิน 7,772 ล้านบาท ซึ่ง 3 เส้นทางสายใต้คาดว่าจะเสนอให้ครม.พิจารณาอนุมัติได้ภายในเดือนธันวาคม 2568

ส่วนอีก 3 เส้นทาง ประกอบด้วย สายเหนือ 2 เส้นทาง คือ ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กิโลเมตร กรอบวงเงิน 68,222 ล้านบาท และช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กิโลเมตร กรอบวงเงิน 81,143 ล้านบาท สายตะวันออกเฉียงเหนือ 1 เส้นทาง ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กิโลเมตร กรอบวงเงิน 44,095 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเสนอครม.ได้ประมาณเดือนมกราคม 2569
อย่างไรก็ตามหาก ครม. อนุมัติให้ดำเนินโครงการก็คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการจัดทำเอกสารเตรียมออกประกาศเชิญชวน และคาดว่าจะสามารถประกาศประกวดราคาได้ในช่วงต้นปี 2569 และคาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงกลางปี 2569
ลุ้นพ.ย.นี้ครม.อนุมัติเพิ่มพนักงาน
นายอนันต์ กล่าวว่า การเพิ่มรายได้ให้กับรฟท. นอกจากการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้วอีกเรื่องที่สำคัญ คือ การเพิ่มบุคลากร เพื่อรองรับการขยายรถไฟทางคู่ในอนาคต โดยรฟท.ได้ทบทวนอัตรากำลังที่จะรับพนักงานใหม่ จำนวน 2,850 คน ภายใต้กรอบระยะ 5 ปี (2568-2572) จากเดิมเสนอขอเพิ่มอัตรากำลัง 3,038 คน ซึ่งได้ส่งเรื่องไปที่กระทรวงคมนาคมแล้ว คาดว่าจะเสนอ ครม. ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ และคาดว่าจะสามารถเริ่มทยอยรับอัตรากำลังคนใหม่ได้ในปี 2569
“การรถไฟฯ เกิดปัญหาขาดแคลนอัตรากำลังที่มีปัญหาสะสมมาอย่างยาวนาน หลังจากมีมติครม.เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ให้รับพนักงานได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุในแต่ละปี ซึ่งทำให้พนักงานของรฟท.ลดลงเหลือประมาณ 9,000 คน จากที่เคยมีพนักงานประมาณ 20,000 คน ล่าสุดกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ได้ยื่นหนังสือต่อรมว.คมนาคมขอให้ทบทวนมติครม. เดิม”
เร่งหารายได้เพิ่มจากบริหารทรัพย์สิน-ขนส่งสินค้า
นายอนันต์ กล่าวว่า แหล่งรายได้หลักของรฟท. มากจาก 3 ทาง คือ 1.ค่าโดยสาร ปัจจุบันรฟท.มีรายได้จากค่าโดยสาร ซึ่งเป็นรายได้จากการให้บริการขนส่งผู้โดยสารประมาณ 3,900 – 4,000 ล้านบาท (ไม่รวมสายสีแดง) แต่การเพิ่มรายได้ส่วนนี้ทำได้ยาก เพราะยังขาดแคลนรถจักรและล้อเลื่อน



2.รายได้จากขนส่งสินค้า ปัจจุบันมีรายได้จากการขนส่งสินค้าประมาณ 2,100 ล้านบาท แผนปี 2569 ตั้งเป้าจะเพิ่มปริมาณขนส่งสินค้าขึ้นประมาณ 10-11% หรือเพิ่มรายได้เป็นประมาณ 2,400 ล้านบาท โดยมีการหารือและร่วมมือกับทางรถไฟลาวในการเพิ่มปริมาณขนส่งสินค้าข้ามฝั่ง และเพื่อรองรับการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ล่าสุด ครม.ได้อนุมัติให้จัดซื้อรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า จำนวน 946 คัน วงเงิน 2,459 ล้านบาท แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาประมาณถึงจะจัดหาได้ครบ ขณะที่ปัจจุบันมีแคร่สินค้าประมาณกว่า 1,000 คัน
3.รายได้จากการบริหารทรัพย์สิน การบริหารทรัพย์สินถือเป็นแหล่งรายได้ที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากมีต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำมาก (ไม่ต้องเติมน้ำมัน, ใช้คนไม่เยอะ) มุ่งเน้นการบริหาร ทรัพย์สินเชิงพาณิชย์ให้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการสร้างรายได้เพิ่มเติม โดยในปี 2569 รฟท. ตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้จากการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์จากที่มีรายได้ราย 3,900 ล้านบาท เพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20% โดยมีบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของรฟท. เข้ามาบริหารจัดการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์
ปัจจุบัน SRTA ได้ทำเรื่องขอเช่าที่ดิน 10 แปลงใหญ่ไปพัฒนาเชิงพาณิชย์ โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการรฟท. (บอร์ด รฟท.) ในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ เพื่อพิจารณาให้ SRTA เช่า เพื่อนำไปพัฒนาและบริหารเชิงพาณิชย์ ซึ่งในแต่ละแปลงที่ SRTA จะนำไปพัฒนานั้นมีมูลค่าเกิน 500 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็น แปลงหัวมุมอตก. แปลงสถานีแม่น้ำ บริเวณย่านมักกะสัน แปลง C บริเวณสถานีศิลาอาสน์ สนามกอล์ฟหัวหินและโรงแรมกอล์ฟอิน หัวหิน บริเวณสถานีหาดใหญ่ แปลง B จึงต้องขออนุมัติจากบอร์ด แต่ถ้าแปลงใดไม่เกิน 500 ล้านบาทผู้ว่าการฟท. สามารถอนุมัติให้บริษัทลูกเช่าได้เลย