“รมว.พลังงาน” เร่งเครื่อง “นโยบายพลังงาน” หวังกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 7 แสนลบ.

Loading

รมว.พลังงาน” กางแผนนโยบายพลังงาน ภายใต้โครงการ “Quick Big Win” มุ่งเป้าลดค่าใช้จ่ายพลังงานให้ประชาชน ช่วง 4 เดือน หวังกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 700,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 16,000 อัตราลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 10 ล้านตันต่อปี เตรียมประกาศหลักเกณฑ์รับซื้อไฟฟ้า โซลาร์ฟาร์มชุมชน และโครงการ Direct PPA พ.ย.นี้

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพลังงาน แถลงนโยบายสำคัญที่ต้องเร่งผลักดันให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ทั้งด้านเศรษฐกิจ  การส่งเสริมการลงทุน การผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ และการส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งในส่วนของกระทรวงพลังงาน ได้ผลักดันโครงการ “Quick Big Win” ด้านพลังงาน การสร้างรายได้ ลดรายจ่ายด้านพลังงานภาคประชาชน

นำโดยโครงการโซลาร์ภาคประชาชน เร่งขับเคลื่อน “โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร” กว่า 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 แสนไร่ทั่วประเทศ คาดว่าจะเกิดเม็ดเงินผ่านการลงทุนกว่า 12,500 ล้านบาท ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 87.5 เมกะวัตต์ และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.6 ล้านตันต่อปี “โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน” เป้าหมายกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนได้กว่า 30,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 1,600 ตำแหน่ง และยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.8 ล้านตันต่อปี โดยจะสามารถประกาศรับซื้อไฟฟ้าได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

ส่วนเป้าหมาย “การลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ติดตั้งโซลาร์เซลล์” คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วม 90,000 ครัวเรือน กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุน ได้กว่า 20,250 ล้านบาท ลดการใช้ไฟฟ้าได้ 585 ล้านหน่วยต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 2.8 แสนตันต่อปี

นอกจากนั้น ยังมีการเร่งอนุมัติ “การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของ กฟผ.” (เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์) ซึ่งมีต้นทุนต่ำ กำลังการผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ เกิดการลงทุนกว่า 53,000 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 0.8 ล้านตันต่อปี

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม ได้เร่งดำเนินการ “โครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง” หรือ Direct PPA 2,000 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเสนอ กบง. ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2568 และออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าได้ภายในสิ้นปีนี้ คาดเกิดเม็ดเงินลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 65,000 ล้านบาท ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

นอกจากนั้น ยังมี “การพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออก (EEC)” คาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้ากว่า 800 เมกะวัตต์ รองรับธุรกิจ Data Center 16 ราย รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมผ่านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์ผ่านกลไกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน

การสร้างความยั่งยืนระยะยาวรองรับ Net Zero 2050 ผ่านโครงการต่างๆ ข้างต้น รวมทั้งการเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า หรือ แผน PDP ที่จะมีการทบทวนรายละเอียดให้การผลิตไฟฟ้าตอบโจทย์กับเป้าหมาย Net Zero 2050 ผ่านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้น นอกจากนั้น ยังมีการเริ่มโครงการพัฒนาการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ ได้ภายในปี 2577 และระหว่างปี 2577 ถึงปี 2607 (30 ปี) จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ ได้ 6.4 ล้านตันต่อปี

ทั้งนี้ จากเป้าหมายการขับเคลื่อนทุกโครงการภายใต้โครงการ “Quick Big Win” ด้านพลังงานที่นำเสนอข้างต้น สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดมูลค่าการลงทุนสูงถึง 700,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 16,000 ตำแหน่ง และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 10 ล้านตันต่อปี

“ผลการดำเนินงานของรัฐบาลชุดนี้ ที่จะเห็นเป็นรูปธรรมในระยะสั้น ก็คือการตรึงราคาพลังงานเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ทั้งการดูแลราคาดีเซลไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร การตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ถัง 15 กิโลกรัม อยู่ที่ 423 บาท และค่าไฟงวดใหม่(ม.ค.-เม.ย.2569) ที่จะตรึงราคาเท่ากับปัจจุบันที่ 3.94 บาทต่อหน่วย หรือ อาจต่ำกว่า พร้อมดูแลสถานะกองทุนน้ำมันฯให้มีเสถียรภาพ”

นายอรรถพล กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน จะเร่งขับเคลื่อนการดำเนินโครงการต่างๆที่มีความสำคัญให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว เช่น การเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมฝั่งอันดามัน เป็นต้น รวมถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(บอร์ด กกพ.) ,การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย(ผู้ว่าฯ กฟผ.)คนใหม่ และคณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ให้เกิดความชัดเจนภายในเดือนตุลาคมนี้ อีกทั้งจะเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

ส่วนนโยบายที่คาดว่าจะยังไม่ดำเนินการภายใต้การทำงานของรัฐบาลชุดนี้ เบื้องต้นเช่น Strategic Petroleum Reserve (SPR) คือ ระบบการจัดเก็บน้ำมันสำรองในระดับชาติ เนื่องจากจะต้องใช้งบประมาณลงทุนจำนวนมากและอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนพลังงาน อีกทั้งปัจจุบันยังมีวิธีบริหารจัดการความมั่นคงด้านพลังงานในหลายทางเลือกที่ดีกว่า รวมถึงการเจรจาสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา จะยังไม่มีการดำเนินการจนกว่าจะมีข้อยุติเรื่องเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ