ราคาน้ำดิบสัปดาห์นี้ปรับลด หลังตลาดคาดมาตรคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ถูกจำกัดด้วยอุปทานน้ำมันดิบเพิ่ม

Loading

ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำดิบสัปดาห์นี้ปรับลดลง หลังตลาดคาดผลกระทบจากมาตรคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ถูกจำกัดด้วยอุปทานน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นจากกลุ่มโอเปกพลัส คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 55-65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. – 6 พ.ย. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับลดลงเนื่องจากตลาดคาดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อรัสเซียถูกจำกัดด้วยอุปทานน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัส ถึงแม้ว่าสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนจะตึงเครียดขึ้น อย่างไรก็ดี ความต้องการใช้น้ำมันได้รับแรงหนุนภายหลังตลาดผ่อนคลายความตึงเครียดต่อการดำเนินนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ต่อจีน ภายหลังการพูดคุยระหว่างสองผู้นำสหรัฐฯ และจีนเป็นครั้งแรกในช่วงวันที่ 30 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย

  • ตลาดยังคงประเมินผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ของรัสเซียอย่างใกล้ชิด โดยคาดว่าอินเดียจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการครั้งนี้มากที่สุด เนื่องจากปริมาณการนำเข้าของอินเดียจากบริษัทรอสเนฟต์ (Roseneft) และ ลูคออยล์ (Lukoil) ในเดือน ม.ค. – ก.ย. 68 อยู่ที่ระดับ 1.35 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยรายงานล่าสุดของสำนักข่าวรอยเตอร์บ่งชี้ว่าโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในอินเดียชะลอการจัดซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซีย โดยบริษัท Bharat Petroleum Corp. Ltd. (BPCL) เตรียมจัดซื้อน้ำมันดิบสำหรับเดือน ธ.ค. 68 จากแหล่งอื่น อาทิ สหรัฐฯ และอิรัก เพื่อทดแทนน้ำมันดิบจากรัสเซีย อย่างไรก็ตาม บริษัทบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินเดีย Indian Oil Corp. (IOC) กล่าวว่าจะยังคงจัดซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียต่อไป

  • สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่องจากจากการ Open Source Centre (OSC) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของสหราชอาณาจักร บ่งชี้ว่ายูเครนได้เปิดปฏิบัติการทางการทหารเพื่อโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซียจำนวน 58 ครั้ง นับตั้งแต่เดือน ส.ค. 68 เมื่อเทียบกับการโจมตีเพียงแค่ 1 และ 2ครั้งในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. 68 ตามลำดับ โดยจำนวนการโจมตีดังกล่าวถือว่ามากที่สุดนับตั้งแต่ความขัดแย้งเริ่มต้นในช่วงต้นปี 2565 โดยคาดว่ายูเครนจะยังคงเดินหน้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง เพื่อกดดันให้รายได้จากภาคพลังงานของรัสเซียซึ่งเป็นต้นทุนหลักที่ใช้ในการทำสงครามปรับลดลง
  • ตลาดคาดการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 2 พ.ย. นี้ มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มกำลังผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาเสถียรของตลาดน้ำมันดิบ ภายหลังอุปทานน้ำมันดิบเผชิญกับความไม่แน่นอนจากมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ของสหรัฐฯ ต่อรัสเซีย ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ กลุ่มโอเปกพลัสได้เริ่มทยอยยกเลิกมาตรการปรับลดกำลังการผลิตรวม 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือน ต.ค. โดยเพิ่มการผลิตในอัตรา 137,000 บาร์เรลต่อวัน
  • ตลาดจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลสั่งเปิดปฏิบัติการทางอากาศในฉนวนกาซาอีกครั้ง หลังกล่าวว่ากลุ่มฮามาสละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและมีการส่งตัวประกันที่ไม่ถูกต้องให้กับอิสราเอล โดยข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอล เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค.68

  • ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่เดือน เม.ย. 68  ได้ผ่อนคลายลง ภายหลังการพบปะกันระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในการประชุมนอกรอบซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้          ซึ่งสามารถหาทางออกให้กับความตึงเครียดที่ผ่านมาได้ โดยสหรัฐฯ ตกลงที่จะปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลง เพื่อแลกกับการที่จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และชะลอการควบคุมการส่งออกแร่หายากออกไปก่อน
  • ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. 68 ตัวเลขที่สำคัญของยุโรป เดือน ก.ย.68 อันได้แก่ ดัชนียอดค้าปลีกและดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน เดือน ต.ค. 68 อันได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและตัวการนำเข้าและส่งออก

ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 55-65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 24 – 30 ต.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 2.17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 60.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 2.74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 65.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนผ่อนคลายลง ภายหลังการเจรจาระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ  และนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในการประชุมนอกรอบซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ส่งสัญญาณในเชิงบวก โดยสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราภาษีการนำเข้าสินค้าจากจีนจากระดับ 57% สู่ระดับ 47% โดยเฉพาะภาษีที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีตั้งต้นของเฟนทานิลจะปรับลดจากระดับ 20% สู่ระดับ 10% ขณะที่จีนจะกลับมานำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ รวมถึงยกเลิกการจำกัดการส่งออกแร่หายาก

นอกจากนี้ผู้นำสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าพร้อมเดินทางเยือนจีนในเดือน เม.ย. 69 และได้ส่งคำเชิญให้ผู้นำจีนเดินทางเยือนสหรัฐฯ ด้วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี ตลาดมองว่ามาตรการคว่ำบาตรน้ำมันดิบของรัสเซียจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบอย่างจำกัด ประกอบกับอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากการที่กลุ่มโอเปกพลัสเตรียมปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มเติมในการประชุมซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 2 พ.ย. 68  นี้

นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมเนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความกังวลต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ถึงแม้ว่าจะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งล่าสุด แต่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือน ธ.ค. 68 นั้น ยังคงไม่แน่นอนและมีแนวโน้มที่จะระมัดระวังมากขึ้น