ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ทรงตัวระดับต่ำ จับตาสหรัฐฯ ร่างกรอบเจรจาสันติภาพ หวังยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน

Loading

ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ จับตาสหรัฐฯ ร่างกรอบข้อตกลงเจรจาสันติภาพ เพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรที่ยังคงตึงเครียด คาดเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 21 – 27 พ.ย. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำเนื่องจากสหรัฐฯ ผลักดันกรอบเจรจาสันติภาพในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำมันรัสเซียกลับสู่ตลาดและเพิ่มแรงกดดันด้านอุปทานจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อเนื่อง หลังรัสเซียโจมตีโครงสร้างพลังงานของยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อ Rosneft และ Lukoil ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 พ.ย. ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาท่าทีการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุมวันที่ 9-10 ธ.ค. นี้ หลังจากนักลงทุนให้น้ำหนัก 48.6% สำหรับการคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่ออุปสงค์น้ำมัน 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากผลกระทบการปิดหน่วยงานรัฐ 42 วัน ส่วนทางด้านจีนยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) แม้ตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอ สะท้อนท่าทีระมัดระวังต่อการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพิ่มเติม

xr:d:DAE6R1feDlQ:11,j:34224426537,t:22090107

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย

· สถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงตึงเครียดเนื่องจากรัสเซียเปิดฉากโจมตีเมืองในภาคตะวันตกของยูเครนด้วยโดรนและขีปนาวุธอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก รวมทั้งโจมตีโครงสร้างด้านพลังงานของยูเครนอย่างหนัก ส่งผลให้ยูเครนต้องประกาศตัดกระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ทางด้านสหรัฐฯ ได้ร่างกรอบข้อตกลงในการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยหากสงครามยุติลง จะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบจากรัสเซียไหลเข้าสู่ตลาดมากขึ้น สร้างความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันล้นตลาดโลก ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณไปยังประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ว่ายูเครนต้องยอมรับกรอบที่สหรัฐฯ ร่างขึ้น โดยเสนอให้ยูเครนสละดินแดนและปลดอาวุธบางส่วน 

· ตลาดจับตาผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกต่อการส่งออกน้ำมันและการค้าของรัสเซีย โดยสหรัฐฯ เตรียมห้ามทำธุรกรรมกับบริษัทน้ำมันรัสเซีย Lukoil และ Rosneft โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 21 พ.ย. 68 เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้รัสเซียเข้าสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพกับยูเครน โดยล่าสุด สหรัฐฯ กำลังร่างกฎหมายเพื่อคว่ำบาตรประเทศใดก็ตามที่ทำธุรกิจกับรัสเซีย ซึ่งอาจขยายผลไปถึงประเทศอิหร่านด้วย ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ชี้ว่า เมื่อพ้นกำหนดเส้นตายดังกล่าว ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจปรับลดลง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานของตลาด ซึ่งยังคงเปราะบางมากขึ้น 

· ตลาดติดตามการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 9-10 ธ.ค.นี้ โดยจะมีการกำหนดทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 48.6% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ขณะเดียวกัน ทางด้านโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าได้เริ่มสัมภาษณ์ตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนต่อไป หลังจากได้เคยวิพากษ์วิจารณ์นาย Jerome Powell ประธานเฟดคนปัจจุบัน ที่ไม่ลดอัตราดอกเบี้ยให้เร็วพอ โดยนักวิเคราะห์มองว่าเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดน้ำมันและสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมอาจลดลง และจะช่วยเพิ่มอุปสงค์น้ำมันโลก 

· บริษัท Chevron กำลังพิจารณาเข้าซื้อซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศบางส่วนของบริษัทน้ำมันรัสเซีย Lukoil หลังรัฐบาลอนุญาตให้ผู้สนใจสามารถเจรจากับ Lukoil ได้ โดย Lukoil มีทรัพย์สินในหลายประเทศ คิดเป็นร้อยละ 5 ของอุปทานน้ำมันโลก และมีมูลค่าราว 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยทรัพย์สินที่อาจอยู่ในความสนใจของ Chevron ได้แก่ แหล่งน้ำมัน Karachaganak (400 KBD) และ Tengiz (950 KBD) ในคาซัคสถาน  โดย Chevron ถือหุ้นสัดส่วน 13.5% และ 5% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์ในโครงการนอกชายฝั่งไนจีเรีย ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันในยุโรป โรงกลั่นน้ำมันสามแห่งในยุโรป รวมถึงโครงการพลังงานในประเทศต่าง ๆ เช่น อิรัก อุซเบกิสถาน เม็กซิโก กานา และอียิปต์

· สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินผลกระทบจากการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริง (Real GDP) จะปรับลดลงเพิ่มเป็น 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากได้ปิดหน่วยงานกว่า 42 วัน ขณะเดียวกัน การปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางส่งผลกระทบให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญบางส่วนมีความล่าช้า 

· ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 สะท้อนให้เห็นว่าธนาคารกลางจีนไม่เร่งรีบในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมเนื่องจากจีนและสหรัฐฯ ได้บรรลุกรอบข้อตกลงทางการค้า แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศในเดือน ต.ค.68 จะชะลอตัวลงก็ตาม โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพียง 4.9% ปรับลดลงจาก 6.5% ในเดือน ก.ย.  

· ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศและดัชนีการใช้จ่ายของผู้บริโภคแท้จริง ประจำไตรมาส 3/68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน พ.ย. 68 อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ เดือน พ.ย. ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ กำไรภาคอุตสาหกรรม เดือน ต.ค. 68 

ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (14 – 20 ) พ.ย. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 0.24 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 59.86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 0.36 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 64.07 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 14  พ.ย. 68  ปรับลดลง 3.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 424.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับลดลง 6 แสนบาร์เรล หลังจากตัวเลขการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น และการส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 1.34 ล้านบาร์เรลต่อวันเทียบสัปดาห์ก่อนหน้า สู่ระดับ 4.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งสหรัฐฯ ได้ประกาศคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่ามาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดขึ้นในเดือน ต.ค. 68 ต่อบริษัท Rosneft และ Lukoil กำลังกดดันรายได้น้ำมันของรัสเซีย และคาดว่าจะลดปริมาณการส่งออกเมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นเนื่องจากท่าเรือโนโวรอสซีสก์ของรัสเซียกลับมาดำเนินการอีกครั้งซึ่งก่อนหน้ามีการระงับการส่งออกน้ำมันเป็นระยะเวลา 2 วัน จากการโจมตีของยูเครนที่สร้างความเสียหายต่อศูนย์กลางพลังงานของรัสเซีย ตลอดจนท่าเรือ และคลังน้ำมัน ทั้งนี้ ตลาดยังคงจับตามองการส่งออกน้ำมันดิบของรัสเซียที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น หลังโรงกลั่นในรัสเซียยังคงถูกโจมตีจากยูเครนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยทำให้ราคาน้ำมันดิบย่อตัวจากน้ำมันดิบที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น