ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้อาจผันผวน จากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ท่ามกลางการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ 

ผู้ชมทั้งหมด 108 

ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ ผันผวนจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ท่ามกลางการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 65-75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 8 – 14 ส.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวน หลังตลาดกังวลผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และอินเดีย โดยสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดีย ขณะที่นาย Donald Trump ขู่จะใช้มาตรการภาษีทุตยภูมิต่อประเทศที่นำเข้าน้ำมันของรัสเซีย หากรัสเซียไม่ยอมทำข้อตกลงหยุดยิงในยูเครน 

นอกจากนี้ สหภาพยุโรปตัดสินใจเลื่อนมาตรการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ ออกไปเป็นระยะเวลาอีก 6 เดือน จากเดิมที่มีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 7 ส.ค. 68 ขณะที่อุปสงค์น้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากตัวเลขนำเข้าน้ำมันดิบของญี่ปุ่นในช่วงเดือน ม.ค. ถึง มิ.ย. 68 สูงขึ้นเมื่อเที่ยบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 

อย่างไรก็ตามอุปทานน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นหลังกลุ่ม OPEC+ มีมติเพิ่มปริมาณการผลิต 0.547 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ก.ย. 68 

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย 

· ตลาดกังวลผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และอินเดีย โดยเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียเป็น 50% จากเดิม 25% โดยมีผลบังคับใช้ใน วันที่ 28 ส.ค. 68 เนื่องจากอินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง มาตรการนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการส่งออกหลักของอินเดีย ถือเป็นความตึงเครียดรุนแรงที่สุดในความสัมพันธ์สหรัฐฯ และอินเดียนับตั้งแต่ นาย Donald Trump กลับมารับตำแหน่งเมื่อเดือน ม.ค. 68 ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีอินเดีย นาย Narendra Modi เตรียมเดินทางเยือนจีนเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 7 ปี

· สถานการณ์ความไม่สงบในยุโรปตะวันออกยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง หลังเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้แทนของสหรัฐฯ นาย Steve Witkoff เดินทางเยือนรัสเซียเพื่อหารือกับประธานาธิบดีรัสเซีย Vladimir Putin โดยใช้เวลาหารือราว 3 ชั่วโมง ก่อนเส้นตายที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump ขู่จะใช้มาตรการภาษีทุตยภูมิต่อประเทศที่นำเข้าน้ำมันของรัสเซีย หากรัสเซียไม่ยอมทำข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนภายในวันที่ 8 ส.ค. 68 ทั้งนี้ การหารือยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่ารัสเซียอาจเสนอการหยุดโจมตีทางอากาศเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ ประธานาธิบดี Putin เชื่อว่ารัสเซียกำลังได้เปรียบในสงครามและให้ความสำคัญกับเป้าหมายทางทหารมากกว่าความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ

· สหภาพยุโรปตัดสินใจเลื่อนมาตรการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ ออกไปเป็นระยะเวลาอีก 6 เดือน จากเดิมที่มีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 7 ส.ค. 68 โดยสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงการค้าเบื้องต้น ณ วันที่ 27 ก.ค. 68 และจะเจรจาทางการค้าต่อไปในรายละเอียดเพื่อหาข้อสรุป ทั้งนี้สหภาพยุโรปเปิดเผยว่าผลการเจรจาดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงทางการเมือง ยังไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย

· อุปสงค์น้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับเพิ่ม เนื่องจากกระทรวงเศรษฐกิจการค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเผยตัวเลขนำเข้าน้ำมันดิบในช่วงเดือน ม.ค. ถึง มิ.ย. 68 ปรับเพิ่มขึ้น 2.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อยู่ที่ระดับ 2.42 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยนำเข้าจากตะวันออกกลางคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 95% ของการนำเข้ารวม

· อย่างไรก็ตาม อุปทานน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังสมาชิกกลุ่ม OPEC+ 8 ประเทศมีมติเพิ่มปริมาณการผลิต 0.547 ล้านบาร์เรลต่อวัน เดือน ก.ย. 68 ซึ่งทำให้เพิ่มการผลิตสะสมในช่วงเดือน เม.ย. ถึง ก.ย. 68 รวม 2.46 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นการยกเลิกส่วนที่เคยอาสาลดการผลิตโดยสมัครใจปริมาณ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยสมบูรณ์

· ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ เดือน ก.ค. 68 ดัชนีราคาผู้บริโภค เดือน ก.ค. 68 ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือน ก.ค. 68 ยอดขายปลีก เดือน ก.ค. 68 ดัชนีราคาส่งออก เดือน ก.ค. 68 ดัชนีราคานำเข้า เดือน ก.ค. 68 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ค. 68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ อัตราการจ้างงาน ไตรมาส 2/68 ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน มิ.ย. 68 และตัวเลขจีดีพี ไตรมาส 2/68 และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ ยอดขายรถยนต์ เดือน ก.ค.68 ดัชนีราคาบ้าน เดือน ก.ค. 68 ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ค. 68 ยอดขายปลีกเดือน ก.ค. 68 และอัตราการว่างงาน เดือน ก.ค. 68

ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 65-75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 1 – 7 ส.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 2.67 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 65.40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 3.47 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 67.88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจแห่งสหรัฐฯ รายงานยอดนำเข้าสินค้าและบริการเดือน มิ.ย. 68 ลดลง 3.7% เทียบกับเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 3.38 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ มี.ค. 67 ขณะที่ยอดส่งออกเดือน มิ.ย. 68 ลดลง 0.5% เทียบกับเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 2.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ ม.ค. 68 ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้าและบริการอยู่ที่ 6.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นระดับที่ต่ำสุดตั้งแต่เดือน ก.ย. 66 ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตสหรัฐฯ เดือน ก.ค. 68 ลดลง 1 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 48 จุด และเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ ต.ค. 67 ทั้งนี้ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด บ่งชี้ภาวะหดตัว 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ รายงานยอดจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ค. 68 เพิ่มขึ้น 73,000 ราย เทียบกับเดือนก่อนหน้า และอัตราการว่างงานเดือน ก.ค. 68 เพิ่มขึ้น 0.1% เทียบกับเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 4.2% ขณะที่ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับลดลง 3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 427.3 ล้านบาร์เรล ณ สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 1 ส.ค. 68 ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลงเพียง 0.6 ล้านบาร์เรล