ราคาน้ำดิบสัปดาห์นี้ผันผวน แรงกดดันด้านอุปทาน ท่ามกลางความเสี่ยง “ภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจ”

Loading

ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำดิบสัปดาห์นี้ผันผวนจากแรงกดดันด้านอุปทานท่ามกลางความไม่แน่นอนของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 62-72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 3 ต.ค. – 9 ต.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำดิบยังคงผันผวนจากแรงกดดันด้านอุปทานและความไม่แน่นอนของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปกพลัสอาจปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มเติมในเดือน พ.ย. – ธ.ค. 68 หลังจากกลุ่มโอเปกพลัสเริ่มยกเลิกการปรับลดกำลังการผลิตปริมาณ 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยทยอยปรับเพิ่ม 137,000 บาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือน ต.ค. 68 รวมถึงราคาน้ำมันปรับตัวลงชั่วคราว และอุปสงค์น้ำมันดิบอาจลดลงจากเหตุการณ์รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการชั่วคราว (Government shutdown) เนื่องจากสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงร่างงบประมาณชั่วคราวได้

นอกจากนี้ ตลาดยังคงจับตาการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรปที่มีหัวข้อการประชุมเกี่ยวกับมาตรการของยุโรปต่อรัสเซียเพื่อกดดันให้รัสเซียเข้าสู่การเจรจายุติสงคราม ในขณะที่ตลาดจับตาท่าทีของรัสเซียว่าจะยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาหรือทวีความรุนแรงขึ้นจากความไม่พอใจต่อมาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรป

ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมีแนวโน้มดีขึ้นเนื่องจากแผนสันติภาพ 20 ข้อเพื่อยุติสงครามในฉนวนกาซามีแนวโน้มที่จะสามารถบรรลุข้อตกลงได้

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย

  • อุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการคาดการณ์มติที่ประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5 ต.ค.ว่ากลุ่มโอเปกพลัสอาจปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มเติมในเดือน พ.ย. – ธ.ค. 68 โดยก่อนหน้ากลุ่มโอเปกพลัสได้เริ่มยกเลิกการปรับลดกำลังการผลิตปริมาณ 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวันตั้งแต่เดือน ต.ค. โดยทยอยปรับเพิ่มขึ้น 137,000 บาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจยกเลิกการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสตั้งแต่เดือน เม.ษ. เป็นต้นมา ส่งผลทำให้มีปริมาณน้ำมันส่วนเกินออกมามากขึ้น และเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน
  • ราคาน้ำมันอาจปรับตัวลงชั่วคราวเนื่องจากอุปสงค์น้ำมันดิบที่อาจลดลงจากเหตุการณ์รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการชั่วคราว (Government shutdown) หลังจากสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงร่างงบประมาณชั่วคราวได้ ส่งผลทำให้พนักงานรัฐหลายแสนคนถูกส่งกลับบ้านเพื่อพักงาน ส่วนพนักงานที่มีหน้าที่สำคัญจะต้องปฏิบัติงานต่อโดยไม่ได้รับเงินเดือนจนกว่าสถานการณ์จะกลับมาสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้หากการปิดทำการชั่วคราวของรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกยืดเยื้อออกไป อาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสที่สี่ของสหรัฐฯ หยุดชะงักลง แต่อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นเพียงแค่ชั่วคราว และจะไม่ส่งผลกระทบในระยะยาว
  • ตลาดยังคงจับตาการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรปอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการหารือถึงการเตรียมความพร้อมของยุโรป            เพื่อป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นจากรัสเซียรวมถึงหารือเกี่ยวกับสงครามลูกผสม (Hybrid war) หลังจากโดรนของรัสเซียล่วงล้ำอาณาเขตน่านฟ้าของโปแลนด์ เอสโตเนีย และเดนมาร์ก ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของพลเมืองในประเทศ ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าวจะมีการหารือเกี่ยวกับข้อเสนอใหม่ในการใช้สินทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกอายัดไว้เพื่อช่วยเหลือยูเครน รวมถึงการติดตามมาตรการคว่ำบาตรชุดที่ 19 ของสหภาพยุโรป (The EU’s 19th package of sanctions) ที่ถูกประกาศไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ การดำเนินการและท่าทีของการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรปถือเป็นการกดดันต่อรัสเซียให้เข้าสู่โต๊ะเจรจาสันติภาพอีกครั้ง หากการดำเนินการของสหภาพยุโรปบรรลุผลสำเร็จในการยุติสงครามรัสเซียยูเครน ก็จะสามารถลดความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบโลกได้ ในทางกลับกันหากรัสเซียมีท่าทีแข็งกร้าวก็จะยิ่งเป็นการทวีความรุนแรงของสงครามจากการขยายผลมาสู่สหภาพยุโรป นอกเหนือจากยูเครน ทั้งยังจะทำให้เป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบให้สูงขึ้นได้
  • สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอลมีแนวโน้มดีขึ้นเนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ   นายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีอิสราเอล นายเบนจามิน เนทันยาฮู เห็นพ้องถึงแผนสันติภาพ 20 ข้อเพื่อยุติสงครามในฉนวนกาซา โดยแผนดังกล่าวประกอบด้วยการหยุดยิง การปล่อยตัวประกัน การจัดตั้งเขตปลอดทหารบางส่วนในกาซา รวมถึงการฟื้นฟูกาซา แม้ว่าข้อตกลงดังกล่าวถูกยอมรับระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ แต่ข้อตกลงนี้กำลังถูกพิจารณาโดย   กลุ่มฮามาสและกลุ่มปาเลสไตน์ ทั้งนี้หากข้อตกลงดังกล่าวบรรลุผลสำเร็จก็จะคลายความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบในภูมิภาคตะวันออกกลาง
  • ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดุลการค้า เดือน ส.ค. สินเชื่อผู้บริโภค เดือน ส.ค. และจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก  และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป เดือน ส.ค. ได้แก่ ดัชนียอดขายปลีก

ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 62-72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 26 ก.ย. – 2 ต.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 0.98 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 62.76 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 1.01 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 66.92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเนื่องจากอิรักและตุรกีบรรลุข้อตกลงในการดำเนินการส่งน้ำมันจากเคอร์ดิสถานของอิรักไปยังท่าเรือเจย์ฮานของตุรกีที่ประมาณ 150,000 – 160,000 บาร์เรลต่อวัน

ทั้งนี้ การซื้อขายน้ำมันดังกล่าวจะทำให้น้ำมันดิบ 230,000 บาร์เรลต่อวัน กลับสู่ตลาดโลก ซึ่งจะช่วยลดความตึงตัวของอุปทานน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังปรับลดลง หลังมีรายงานว่ากลุ่มโอเปกพลัสอาจเพิ่มกำลังการผลิตที่ 500,000 บาร์เรลต่อวัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อทวงคืนส่วนแบ่งตลาด

อย่างไรก็ตาม กลุ่มโอเปกพลัสได้ออกมาปฏิเสธรายงานของสื่อเกี่ยวกับแผนการเพิ่มการผลิตดังกล่าว ซึ่งทำให้ตลาดยังต้องจับตามองถึงการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 5 ต.ค. อย่างใกล้ชิด โดยก่อนหน้ากลุ่มโอเปกพลัสได้ตกลงปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 137,000 บาร์เรลต่อวันในเดือน ต.ค.

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงจับตาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากโดรนยูเครนโจมตีโรงกลั่นน้ำมัน ท่าเรือ และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซีย ทำให้การส่งออกน้ำมันดิบของรัสเซียหยุดชะงักชั่วคราว ขณะเดียวกันรัสเซียยังคงละเมิดอาณาเขตน่านฟ้าของกลุ่มพันธมิตรนาโตด้วยโดรนและเครื่องบินรบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์และความเสี่ยงต่อเสถียรภาพตลาดพลังงานโลก