ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ผันผวน จากเหตุตึงเครียดระหว่าง “สหรัฐฯ-เวเนซุเอล่า”

Loading

ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ผันผวน จากเหตุตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอล่า ท่ามกลางสัญญาณบวกการเจราจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 55-65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 58-68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผย บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19 – 25 ธ.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวนเนื่องจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอล่าที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากผู้นำสหรัฐฯ ออกคำสั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่เข้าและออกจากเวเนซุเอล่าและถูกคว่ำบาตรทั้งหมด รวมถึงข่มขู่ว่าอาจจะเปิดปฏิบัติการทางภาคพื้นดิน โดยที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อกดดันรัฐบาลของเวเนซุเอล่าภายใต้การนำของนายนิโคลัส มาดูโร ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนยาเสพติดเข้าสู่สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ผู้นำเวเนซุเอลาได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวของสหรัฐฯ ว่าเป็นภัยคุกคามที่มีความร้ายแรงอย่างยิ่ง ทางด้านการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้นเนื่องจากผู้นำยูเครนตัดสินใจยอมถอยหนึ่งก้าวจากความพยายามเข้าร่วมสมาชิกนาโต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องยุติสงครามของรัสเซีย โดยแลกกับหลักประกันด้านความมั่นคงภายใต้ข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงคราม กับรัสเซีย

นอกจากนี้ ตลาดยังคงจับตาการนำเข้าน้ำมันดิบของจีน หลังจากตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดิบในเดือน พ.ย. 68 ปรับเพิ่มขึ้น 8.7% จากเดือน ต.ค. 68 ซึ่งมาจากปัจจัยจากการเพิ่มโควต้าการนำเข้าน้ำมันดิบรวมถึงระดับน้ำมันดิบในคลังสำรองน้ำมันดิบของจีนยังคงต่ำกว่าเป้า อย่างไรก็ดี ตลาดคาดการณ์ว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันในสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการของสหรัฐฯ ในเดือน ธ.ค. 68 บ่งชี้การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย

  • ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอล่าทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกคำสั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่เข้าและออกจากเวเนซุเอล่าและถูกคว่ำบาตรทั้งหมด โดยที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ดำเนินการยึดเรือบรรทุกน้ำมันและโจมตีเรือที่มุ่งหน้าเข้าสู่สหรัฐฯ รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นการกดดันต่อรัฐบาลของเวเนซุเอล่าภายใต้การนำของนายนิโคลัส มาดูโร ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนยาเสพติดเข้าสู่สหรัฐฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ด้านผู้นำเวเนซุเอลาได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวของสหรัฐฯ
    ว่าเป็นภัยคุกคามที่มีความร้ายแรงอย่างยิ่ง ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของอุปทานน้ำมันดิบที่อาจหยุดชะงัก
  • ตลาดจับตาความคืบหน้าการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเนื่องจากผู้นำยูเครนยอมถอยหนึ่งก้าวโดย
    ตัดสินใจยุติความพยายามเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต้ ซึ่งเป็นหนึ่ง
    ในข้อเรียกร้องจากรัสเซีย โดยแลกกับหลักประกันด้านความมั่นคงภายใต้ข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงครามกับรัสเซีย ทั้งนี้
    จากการประชุมของผู้นำสหรัฐฯ ยุโรป และยูเครน ณ กรุงเบอร์ลิน ในประเด็นดังกล่าวมีผลลัพธ์ออกมาในทิศทางที่ดี ถือว่าเป็นก้าวที่สำคัญของการเจรจาสันติภาพ อย่างไรก็ดี การเจรจาในประเด็นเรื่องดินแดนดอนบาสยังคงเป็นปัญหาหลักที่
    ทั้งสองฝ่ายยังคงไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้
  • ตลาดยังคงจับตาทิศทางการนำเข้าน้ำมันดิบของจีน โดยรายงานล่าสุดระบุว่า จีนมีการเพิ่มปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบ
    ในเดือน พ.ย. อยู่ที่ 12.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 8.7% จาก 11.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ต.ค. 68 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มโควต้าการนำเข้าน้ำมันดิบ ขณะเดียวกัน ตลาดคาดการณ์ว่าในเดือน ธ.ค. 68 จีนจะยังคงนำเข้าน้ำมันดิบเทียบเท่ากับเดือน พ.ย. 68 หรือที่ราว 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปัจจัยการเพิ่มโควต้าการนำเข้าน้ำมันดิบที่ยังคงเหลืออยู่ และแนวโน้มการเพิ่มน้ำมันดิบในคลังสำรองน้ำมันดิบของจีน หลังระดับคงคลังปัจจุบันยังต่ำกว่าเป้าหมายที่จีนได้ตั้งไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากส่วนลดราคาน้ำมันดิบของรัสเซียที่ยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มมีสัญญาณการชะลอตัว เนื่องจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI)
    ภาคการผลิตและบริการของสหรัฐฯ ในเดือน ธ.ค. 68 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 51.8 และ 52.9 ตามลำดับ จากระดับ 52.2 และ 51.4 ในเดือน พ.ย. 68 ที่ผ่านมา โดยการลดลงของดัชนีทั้งสองสะท้อนถึงเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เริ่มอ่อนแอ ซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันในสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัวลง
  • ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีจีดีพี ไตรมาส 3 และดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรม เดือน ต.ค. 68

ทั้งนี้ ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 55-65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 58-68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 12 – 18 ธ.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 2.33 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 56.32 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 2.31 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 60.02 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังจากน้ำมันดิบรัสเซียยังคงถูกส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขการส่งออกน้ำมันดิบรัสเซีย เดือน พ.ย. 68 ปรับลดลงเพียง 0.8% จากเดือน ต.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 7.5 ล้านตัน ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ของ J.P. Morgan รายงานว่าภาวะน้ำมันล้นตลาดในปีนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2569 และ 2570 เนื่องจากอุปทานน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าความต้องการใช้น้ำมัน ทำให้นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานที่อาจล้นตลาด อย่างไรก็ตาม สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เผยตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงราว 1.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 424.4ล้านบาร์เรล ณ สิ้นสุดสัปดาห์วันที่ 12 ธ.ค.68  ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับตัวลดลงราว 1.1 ล้านบาร์เรล