ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ผันผวน จากแรงกดดันด้านอุปทานและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

Loading

ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ยังคงผันผวน จากแรงกดดันด้านอุปทานและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างรัสเซีย-ยูเครนและความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 5 ก.ย. – 11 ก.ย. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวน จากแรงกดดันด้านอุปทานและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ โดยตลาดจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 7 ก.ย. 68 ซึ่งอาจมีการพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเร็วกว่ากำหนดเดิม อาจส่งผลให้มีอุปทานน้ำมันดิบออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่ซีเรียกลับมาส่งออกน้ำมันดิบเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 14 ปี เนื่องจากสหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร นอกจากนี้ นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากคำตัดสินของศาลอุทธรณ์กลาง ซึ่งอาจส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีนำเข้าในอนาคต โดยเฉพาะกับอินเดียที่กำลังเจรจาลดกำแพงภาษีกับสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ราคาได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงตึงเครียด ภายหลังยูเครนเดินหน้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซียซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังการกลั่นกว่า 17% ของประเทศ นอกจากนี้ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงมีอยู่ โดยอิสราเอลเพิ่มกำลังพลสำรองเพื่อปฏิบัติการทางทหาร ในฉนวนกาซา ท่ามกลางความกังวลว่าความขัดแย้งอาจลุกลามเป็นระดับภูมิภาค

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย

  • ตลาดคาดกลุ่มสมาชิกโอเปกพลัสจะพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มเติมในการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสใน     วันที่ 7 ก.ย. 68 นี้ โดยการพิจารณาดังกล่าวอาจส่งผลให้มีการทยอยคืนกำลังการผลิตประมาณ 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 1.6 % ของความต้องการน้ำมันโลก ซึ่งเร็วกว่ากรอบเวลาที่เคยกำหนดไว้กว่า 1 ปี เนื่องจากก่อนหน้านี้กลุ่มสมาชิกได้ทยอยเพิ่มกำลังการผลิตกว่า 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน เม.ย. 68 ถึง ก.ย. 68 รวมถึงปรับเพิ่มโควตาการผลิตของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีก 300,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ตลาดกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันดิบที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น
  • สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงเดินหน้าปฏิบัติทหารในการโจมตีเป้าหมายอื่นๆ นอกเหนือจากเป้าหมายทางการทหาร ได้แก่ ที่ตั้งของพลเรือนของยูเครนและโครงสร้างทางด้านพลังงานของรัสเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังการกลั่นของโรงกลั่นในรัสเซียกว่า 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือคิดเป็นกว่า 17% ของกำลังการกลั่นรวม อย่างไรก็ดี การเดินหน้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เป็นสัญญาณถึงความเสี่ยงต่ออุปทานน้ำมันดิบรัสเซียที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น หลังยูเครนอาจพิจารณายกระดับการโจมตีต่อคลังน้ำมันหรือแหล่งขุดเจาะน้ำมันของรัสเซียเพิ่มเติม
  • ตลาดยังคงจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยรายงานล่าสุดชี้ว่า กำลังพลสำรองของอิสราเอลถูกเรียกเข้าประจำการเพื่อเข้าร่วมในปฎิบัติการทางทหารในการยึดเมืองกาซ่า ซิตี้ ความตึงเครียดนี้เกิดขึ้นภายหลังการสังหารบุคคลสำคัญต่างๆ ได้แก่ นายอาบู โอเบดา โฆษกของกลุ่มฮามาส และนายอาเหม็ด อัล-ราฮาวี นายกรัฐมนตรีของเยเมนซึ่งสนับสนุนโดยกลุ่มติดอาวุธฮูตี ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การปฎิบัติการทางทหารที่เข้มข้นของกองทัพอิสราเอลในช่วงที่ผ่านมาสร้างความกังวลต่อประชาคมโลกว่า การกระทำดังกล่าวอาจสร้างความไม่พอใจให้กับชาติมุสลิมต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางและอาจส่งผลให้ความขัดแย้งดังกล่าวยกระดับขึ้นเป็นความขัดแย้งในระดับภูมิภาคและส่งผลกระทบกับอุปทานน้ำมันดิบในภูมิภาคตะวันออกกลาง
  • นโยบายการดำเนินภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญกับความไม่แน่นอน เนื่องจากศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐฯ ตัดสินตามศาลชั้นต้นว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่มีกรอบอำนาจตามกฎหมาย IEEPA ที่จะออกคำสั่งเก็บภาษีนำเข้ากับเกือบทุกประเทศในโลกแบบไม่มีกำหนดเวลา โดยคาดว่าการชี้ขาดนโยบายนี้จะขึ้นอยู่กับศาลฎีกาของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายคาดว่าคำตัดสินของศาลฎีกาอาจจะออกมาในรูปแบบที่แตกต่างจากคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ หลังผู้พิพากษาศาลฎีกา 6 ใน 9 คนมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังต้องจับตาภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ กับอินเดียอย่างใกล้ชิด หลังในช่วงต้นสัปดาห์ก่อน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวว่า รัฐบาลอินเดียพร้อมที่จะลดกำแพงภาษีให้กับสหรัฐฯ
  • อุปทานน้ำมันดิบในภูมิภาคตะวันออกกลางมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น ภายหลังซีเรียส่งออกน้ำมันดิบออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 14 ปี นับตั้งแต่การเริ่มต้นของเหตุการณ์อาหรับสปริง (Arab Spring) โดยการส่งออกนี้มีขึ้นภายหลังรัฐบาลใหม่ของซีเรียสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อซีเรีย โดยในช่วงก่อนหน้านี้ ซีเรียมีปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบที่ระดับ 3.8 แสนบาร์เรลต่อวัน
  • ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เดือน ส.ค. 68 ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนเดือน ส.ค. 68  ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขปริมาณการนำเข้าและการส่งออก

ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 29 ส.ค. – 4 ก.ย. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 0.17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 64.26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลงเล็กน้อย 0.08 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 68.00 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดกังวลเกี่ยวกับการโจมตีทางอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครนซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหยุดชะงักของอุปทาน โดยประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ประกาศว่าจะตอบโต้การโจมตีของโดรนของรัสเซียที่มีผลกระทบต่อโรงไฟฟ้าในภาคเหนือและภาคใต้ของยูเครนและจะเพิ่มการโจมตีรัสเซียให้หนักหน่วงขึ้น ขณะเดียวกัน ราคาได้รับแรงหนุนจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีน (PMI) เดือน ส.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 50.5 ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ค. 68 ที่ระดับ 49.5 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 49.7 ซึ่งบ่งชี้ถึงกิจกรรมการผลิตของจีนที่ขยายตัวเร็วที่สุดในรอบ 5 เดือน

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตาการประชุม Shanghai Cooperation Organization ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 31 ส.ค. – 1 ก.ย. 68 โดยมีประธานาธิบดี ของจีน รัสเซียและนายกรัฐมนตรีของอินเดียเข้าร่วมด้วย โดยการประชุม SCO ได้มีการเน้นยํ้าเรื่องวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความมั่นคงระดับโลกและระบบเศรษฐกิจใหม่ซึ่งถือเป็นการท้าทายสหรัฐฯ โดยตรง และอาจทำให้สหรัฐฯ ออกมาตอบโต้และอาจกระตุ้นให้มีมาตรการควํ่าบาตรเพิ่มเติมต่ออินเดียได้

อย่างไรก็ดี ราคาได้รับแรงกดดันหลังสหรัฐฯ เผยตัวเลขเศรษฐกิจในภาคแรงงานที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนแอลง โดยตัวเลขการเปิดรับสมัครงานของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 7.18 ล้านตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ระดับ 7.38 ล้านตำแหน่ง

ขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 29 ส.ค. 68 ปรับเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 420.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 2.0 ล้านบาร์เรล