ผู้ชมทั้งหมด 89
ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้อาจผันผวน หลังตลาดจับตาความคืบหน้าการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อจีนออกไป 90 วัน คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 15 – 21 ส.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวนจากแรงกดดันทั้งด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ โดยตลาดจับตาการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบางส่วน ขณะที่สหรัฐฯ เลื่อนการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ต่อจีนออกไป 90 วัน ด้านอุปสงค์น้ำมันโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวตามคาดการณ์ของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานและโอเปกจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ อยู่ในระดับใกล้เคียงที่ตลาดคาดการณ์ส่งผลให้เฟดอาจพิจารณาลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีนี้ ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอุปสงค์พลังงาน

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย
· ตลาดน้ำมันยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์หลายด้าน โดยนักลงทุนจับตาการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงการพบปะระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ในการประชุมสุดยอดวันที่ 15 ส.ค. 68 ซึ่งอาจนำไปสู่การแลกเปลี่ยนดินแดนบางส่วนเพื่อยุติสงคราม หากมีความคืบหน้าอาจส่งผลให้มีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนต่อรัสเซีย และระงับมาตรการภาษีทุติยภูมิที่ประกาศเรียกเก็บจากอินเดีย อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงเฝ้าระวังความไม่แน่นอนจากการเจรจาและความเป็นไปได้ของการใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ หากรัสเซียไม่สามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าว
· ขณะเดียวกัน สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) และโอเปกได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2568 และ ปี 2569 สะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดย EIA คาดว่าอุปสงค์น้ำมันในปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 103.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน และปี 2569 เพิ่มขึ้นอีก 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 104.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ OPEC คาดว่าอุปสงค์ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 105.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน และปี 2569 เพิ่มขึ้น1.38 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 106.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ อินเดีย จีน และบราซิล ทั้งนี้ คาดว่าอุปทานน้ำมันจากผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกจะเติบโตช้าลงในปี 2569 จากแรงกดดันด้านราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับต่ำ
· ด้านการค้าระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ต่อจีนออกไป 90 วัน จากเดิมครบกำหนดวันที่ 12 ส.ค. เป็นวันที่ 10 พ.ย. 68 เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจาทางการค้าต่อไป ส่งผลให้ระดับภาษีในช่วงผ่อนผันยังคงทรงตัว โดยอัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อจีนอยู่ที่ 30% ในขณะที่อัตราภาษีจีนต่อสหรัฐฯ อยู่ที่ 10% อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่เริ่มบังคับใช้กับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. ซึ่งอัตราภาษีที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมันโดยภาพรวม
· นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ก.ค. 68 ปรับขึ้น 0.2% เทียบรายเดือน และ 2.7% เทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เล็กน้อย สะท้อนว่าเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งภายในปีนี้ ในการประชุมเดือน ก.ย. ต.ค. และ ธ.ค. ซึ่งอาจ ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์พลังงาน
· ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง เดือน ก.ค. 68 ดัชนีภาคการผลิตจากธนาคารกลางฟิลาเดเฟีย เดือน ส.ค. 68 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต เดือน ส.ค. 68 และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ เดือน ส.ค. 68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ดุลการค้า เดือน มิ.ย. 68 ดัชนีราคาผู้บริโภค เดือน ก.ค. 68 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต เดือน ส.ค. 68 และดัชนีผู้จัดการ ฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ เดือน ส.ค. 68 และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีของธนาคารกลางจีน เดือน ส.ค. 68
ทั้งนี้ ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 8 – 14 ส.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 1.88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 63.52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 1.52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 66.36 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากราคาได้รับแรงกดดันจากการที่สถานการณ์ความไม่สงบในยุโรปตะวันออกระหว่างรัสเซียและยูเครนมีแนวโน้มผ่อนคลายลง หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์เผยว่าข้อตกลงหยุดยิงสงครามในยูเครนใกล้เสร็จสิ้นแล้ว ขณะเดียวกัน UBS Bank ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent สิ้นปี 2568 ลง 6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ระดับ 62 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากอุปทานน้ำมันดิบของสมาชิกนอกกลุ่มโอเปกที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดบริษัท ExxonMobil Guyana ประกาศเริ่มการผลิตน้ำมันดิบจาก FPSO ในแหล่งผลิต Stabroek ส่งผลให้ตัวเลขการผลิตน้ำมันดิบของกายอานาเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 910,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าจีนจะนำเข้าน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียในเดือน ก.ย. 68 ลดลง 220,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 1.43 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายหลังบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบียปรับราคาขายน้ำมันดิบ Arab Light แบบเทอมส่งมอบลูกค้าเอเชียเพิ่มขึ้น ในเดือน ก.ย. 68
อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงกังวลเรื่องผลกระทบจากภาษีทุติยภูมิของสหรัฐฯ ต่อผู้ซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียที่อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบตึงตัวได้ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้มีการขู่อินเดียในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าหากมีการซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียจะเพิ่มกำแพงภาษีต่ออินเดีย ขณะที่ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 3.0 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 426.7 ล้านบาร์เรล ณ สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 8 ส.ค. 68 ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 0.3 ล้านบาร์เรล สะท้อนอุปสงค์ที่อ่อนแอ