ผู้ชมทั้งหมด 134
ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากความไม่สงบในตะวันออกกลาง และมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 73-83 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 20 – 26 มิ.ย. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ซึ่งยังคงยืดเยื้อจากการตอบโต้กันระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ขณะเดียวกัน สถานการณ์คว่ำบาตรรัสเซียทวีความเข้มข้นขึ้นเช่นกัน เมื่อสหราชอาณาจักรประกาศคว่ำบาตรเรือบรรทุกน้ำมันในกองเรือเงาที่มีความเชื่อมโยงกับบริษัทน้ำมันแห่งชาติรัสเซีย
อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีรัสเซียเปิดเผยว่าพร้อมจะกลับเข้าสู่การเจรจากับยูเครนหลังวันที่ 22 มิ.ย. แต่หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ รัสเซียจะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารต่อไป
นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.25 – 4.50% ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 และส่งสัญญาณอาจปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจเร่งเงินเฟ้อ และกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย
- ตลาดยังคงจับตาสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ภายหลังจากที่อิสราเอลได้ดำเนินการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ส่งผลให้อิหร่านตอบโต้ด้วยการดำเนินการทางทหาร และสถานการณ์การตอบโต้ระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินต่อเนื่องโดยไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติลงนับตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ปฏิเสธข้อเสนอจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเรียกร้องให้อิหร่านยอมจำนนและพร้อมเตือนว่าการแทรกแซงทางทหารโดยสหรัฐฯ อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงที่ไม่อาจเยียวยาได้ ขณะเดียวกัน วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวว่า พร้อมสนับสนุนการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติของอิหร่าน ควบคู่ไปกับการแก้ไขข้อกังวลของอิสราเอล
- สถานการณ์การคว่ำบาตรรัสเซียยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ที่ผ่านมา รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศคว่ำบาตรเรือบรรทุกน้ำมัน 20 ลำในกองเรือเงา (Shadow Fleet) ที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทน้ำมันแห่งชาติรัสเซีย Rosneft นอกจากนี้มาตรการคว่ำบาตรยังครอบคลุมถึงบริษัทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Rosneft Marine (UK) บริษัทลูกในสหราชอาณาจักร รวมถึงผู้ดำเนินการเรือขนส่งในรัสเซีย ได้แก่ Orion Star และ Valego ทั้งนี้ มีรายงานว่าเรือบรรทุกน้ำมันทั้ง 20 ลำดังกล่าวได้ดำเนินการขนส่งน้ำมันจากรัสเซียเป็นจำนวนรวมกว่า 25 ล้านบาร์เรลภายในปีนี้
- ขณะเดียวกันความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีท่าทีสิ้นสุด ล่าสุด วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เปิดเผยว่า คณะผู้แทนเจรจาของรัสเซียและยูเครนมีความพร้อมที่จะกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาโดยตรงอีกครั้งหลังวันที่ 22 มิ.ย. อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงโดยสันติวิธีได้ รัสเซียจะใช้วิธีการทางการทหารดำเนินมาตรการเพื่อบรรลุเป้าหมายในยูเครน
- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25 – 4.50% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ และนับเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 อย่างไรก็ตาม เฟดยังคงส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำนวน 2 ครั้งในปีนี้ โดยคาดว่าจะลดครั้งละ 0.25% และยังคงติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าและสถานการณ์ความตึงเครียดทาง
ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกัน ทางด้าน FedWatch Tool ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนักความเป็นไปได้ 57.3% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุม FOMC ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 17 ก.ย. 68ขณะที่ทางเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เปิดเผยว่า แผนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ อาจส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเร่งตัวเพิ่มขึ้นจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งนี้เฟดคาดว่า GDP ในปีนี้จะขยายตัวเพียง 1.4% ขณะที่อัตราการว่างงานอาจปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.5% รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อในช่วงปลายปีอาจสูงถึง 3% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าที่เฟดกำหนดไว้ - ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตเดือน มิ.ย. 68 โดย S&P Global รายงานยอดขายบ้านมือสอง เดือน พ.ค. 68 ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย เดือน เม.ย. 68 ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน ไตรมาสที่ 1/68 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
ไตรมาสที่ 1/68 การใช้จ่ายของผู้บริโภค ไตรมาสที่ 1/68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ กำไรภาคอุตสาหกรรมของจีน เดือน พ.ค. 68 และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต เดือน มิ.ย. 68 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน มิ.ย. 68 อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ เดือน มิ.ย. 68
ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 73-83 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 13 มิ.ย. – 19 มิ.ย. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 7.10 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 75.14 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 9.49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 78.85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 76.84 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 13 มิ.ย. 68 ปรับลดลง 11.5 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 420.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งปรับลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ว่าจะปรับลดลงเพียง 1.8 ล้านบาร์เรล ขณะเดียวกันตลาดยังคงกังวลต่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน โดยอิหร่านได้ชะลอการผลิตก๊าซบางส่วนจากแหล่ง South Pars หลังเกิดไฟไหม้
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าคลังน้ำมัน Shahran ในอิหร่านก็ถูกโจมตีเช่นกัน ส่งผลให้ตลาดยังคงจับตาแนวโน้มอุปทานน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มตึงตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งนี้โดยตรง ซึ่งอาจส่งผลให้ความขัดแย้งขยายเป็นวงกว้าง และทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในตะวันออกลางมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะถูกโจมตี
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงคาดการณ์ว่าความเป็นไปได้ในการปิดช่องแคบยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อรายได้การส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่าน อีกทั้งทางด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับลดคาดการณ์ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกลดลงกว่า 20,000 บาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับรายงานก่อนหน้า สู่ระดับ 0.72 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อุปทานน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นกว่า 0.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน