ผู้ชมทั้งหมด 83
ส.กทอ. ชูโมเดล BCG ผลงานเด่นด้านอนุรักษ์พลังงานผ่านต้นแบบเมืองอัจฉริยะ มช. พร้อมกระตุ้นหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ยื่นขอจัดสรรทุนปี 68 กรอบวงเงิน 3,250 ล้านบาท ขยายระยะเวลาถึง 17 ก.ย. นี้ ด้าน มช.พร้อมของบต่อยอดโครงการ CBG พัฒนายานยนต์ไฟฟ้า

นายรัฐฉัตร ศิริพานิช ผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นทุนหมุนเวียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ หรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้การจัดตั้งตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งที่ผ่านมากองทุนได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไร ผู้ประกอบกิจการโรงงานและอาคาร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และประชาชนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร และเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในการลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 3,573 ktoe คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท/ปี ในช่วงปี 2557 ถึงปัจจุบัน
ในการเดินทางมาศึกษาดูงานที่ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน และศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร รวมถึงตัวอย่างโครงการศึกษาของสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครั้งนี้ ถือว่าเป็นต้นแบบโครงการ BCG Model หรือการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ ไปพร้อมกัน ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน



สำหรับโครงการต้นแบบเมืองอัจฉริยะพลังงานสะอาด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City-Clean Energy) เป็นหนึ่งใน 6 ต้นแบบที่กองทุนฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 115,005,500 บาท เพื่อริเริ่ม “โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities-Clean Energy)” ในปี 2559 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงกำไร สถาบันการศึกษาเพื่อออกแบบพัฒนาเมืองของตนเองไปสู่เมืองอัจฉริยะ
โครงการมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 32,370 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/ปี ใน 20 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 55.5 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2558 นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นเป็นต้นแบบการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมครบวงจรให้กับเมืองข้างเคียงได้พัฒนาสู่สังคมสีเขียวแบบอัจฉริยะ ส่งผลต่อชุมชนรอบข้างให้สามารถใช้ประโยชน์พื้นที่สีเขียวในเมืองมหาวิทยาลัย มีความสะดวกสบายในการสัญจรเพิ่มขึ้น และสามารถเรียนรู้ระบบบริหารจัดการในเมืองมหาวิทยาลัยเพื่อใช้เป็นต้นแบบในการปรับใช้กับชุมชนได้อีกด้วย



ทั้งนี้ โครงการมีผลประหยัดพลังงานที่เกิดขึ้นจริงได้ 28.62% หรือ 34,220,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 51.08% หรือ 32,370.68 ตัน/ปี สามารถผลิตพลังงานจากโซลาร์บนหลังคาได้ 19 เมกะวัตต์ ผลิตไบโอแก๊สจากขยะ 0.3 เมกะวัตต์ และมีโรงไบโอแก๊ส (ไขมันจากโรงอาหาร) 0.5 เมกะวัตต์ รวมผลิตพลังงานได้ 19.8 เมกะวัตต์ หรือเทียบเท่ากับ 51.14% ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมด รวมทั้งมีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และโซลาร์น้้าร้อน 20,000 ลิตร/วัน
“ผลลัพธ์ที่กองทุนฯ คาดหวังคือ เมืองไทยจะมีแผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยเฉพาะในบริบทของการลดสภาวะโลกร้อนที่คำนึงถึงการใช้พลังงานสะอาด ช่วยลดพลังงาน ลดคาร์บอน และสร้างเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับอนาคตต่อไป มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เป็นพันธมิตรที่ดีของกองทุนฯ และเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านมา ที่ได้มีการพัฒนาและยกระดับการดำเนินการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างต่อเนื่องจนได้รับรางวัลและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีการนำเทคโนโลยีด้านพลังงานต่าง ๆ ที่เคยได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เช่น ระบบก๊าซชีวภาพ การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน การดัดแปลงรถยนต์เป็นรถไฟฟ้าและงานวิจัยอื่นๆ มาประยุกต์ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยฯ”
นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจรของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์เมืองอัจฉริยะของมหาวิทยาลัยฯ มุ่งเน้นกำจัดขยะอย่างยั่งยืน โดยนำขยะจากหอพักและโรงอาหารมาผลิตเป็นไบโอแก๊ส เพื่อนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง CBG (Compressed Biomethane Gas) หรือก๊าซไบโอมีเทนอัด คือเชื้อเพลิงที่ได้จากการนำก๊าซชีวภาพ (Biogas) มาปรับปรุงคุณภาพ มีคุณสมบัติเทียบเท่าก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)
การบริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจรสามารถลดปริมาณขยะที่ต้องฝังกลบและเผาได้ประมรณ 4,500 ตัน/ปี ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 10,900 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยขยะอินทรืย์ 1 ตัน สามารถสร้างประโยชน์รวมได้มากถึง 1,500 – 2,000 บาท ซึ่งมาจากการผลิตก๊าซ การลดคาร์บอน และการประหยัดค่าขนส่ง ซึ่งโครงการนี้ก็ถือเป็นต้นแบบน่าสนใจในการนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างโครงการภายใต้การสนับสนุนของกองทุนฯ ประสบผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมอยู่จำนวนมาก จึงเล็งเห็นว่าหน่วยงานหรือองค์กรที่มีสิทธิ์ยื่นขอรับจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2568 ควรให้ความสำคัญกับกลไกนี้ของกองทุนฯ เพื่อเป็นการช่วยผลักดันหน่วยงานให้มีความพร้อมก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
โดยล่าสุดทางคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ขยายระยะเวลาการเปิดรับข้อเสนอโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 17 กันยายน 2568 เวลา 16:30 น. เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนเข้าร่วมยื่นข้อเสนอเพื่อรับทุนสนับสนุน โดยในปี 2568 นั้นมีงบกองทุนฯ 3,250 ล้านบาท

รศ.ดร.สิริชัย คุณภาพดดีเลิศ ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่วาว่า สถาบันฯ เตรียมยื่นเสนอของบกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของปี 2568 เพื่อมาดำเนินการพัฒนาต่อยอดงานวิจัย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเรื่องยานยนต์ไฟฟ้า (รถยนต์อีวี) แบตเตอรี่สอป (Battery Swapping) หรือเทคโนโลยีการสลับแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ส่วนเรื่อง CBG ก็จะพัฒนาต่อยอดใช้กับภาคอุตสาหกรรม อยากส่งเสริมใช้ภาคอุตสาหกรรมทำให้เกิดการลดคาร์บอนไดออกไซต์ ใช้พลังงานทดแทนในราคาถูกมีศักยภาพ ซึ่งตอนนี้สามารถพัฒนาใช้กับยานยนต์แล้ว ส่วนไฮโดรเจนเป็นพลังงานในอนาคตพยายามพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อลดต้นทุน ต้องเตรียมงานวิจัยเทคโนโลยีให้พร้อมตั้งแต่วันนี้รองรับอนาคตหากมีการเปลี่ยนแปลงใช้เชื้องเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดโครงการ CMU Smart City – Clean Energy) ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่