![]()
“รมว.พลังงาน” สั่งคณะอนุกรรมการฯ จัดทำแผนPDP ฉบับใหม่ให้เสร็จใน 3 เดือน ดันเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดกว่า 51% หนุนผลิตไฟจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก(SMR) เกิน 600 เมกะวัตต์ ผลักดันเปิดเสรี “ซื้อ-ขาย”ไฟฟ้า พร้อมเปิดกว้างดึงต่างชาติรวมลงทุนโครงการCCS ในไทย ตอบโจทย์ Net Zero Emission 2050 ด้านนักวิชาการ แนะเร่งเปิดสำรวจปิโตรเลียมแหล่งใหม่ เพิ่มสำรองก๊าซฯ รับมือเปลี่ยนผ่านพลังงาน
สืบเนื่องจากกระแสการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ( energy transition )ของโลก จากเชื้อเพลิงฟอสซิล มุ่งไปสู่ “พลังงานสะอาด” เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายใหม่ Net Zero Emission 2050 จะทำได้อย่างไร จึงจะเกิดความยั่งยืน สมดุลในสามมิติ ทั้งความมั่นคงพลังงาน ราคาพลังงานที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค และการดูแลสิ่งแวดล้อม เนื่องในวาระครบรอบ 10 ปี ของศูนย์ข่าวพลังงาน Energy News Center (ENC) ซึ่งเป็นสื่อที่ติดตามความเคลื่อนไหวและรายงานข้อมูลข่าวสารด้านพลังงานมาโดยตลอด ได้มองเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (energy transition ) ของประเทศ จึงได้จัดงานสัมมนา “ความท้าทายพลังงานไทย เปลี่ยนผ่านอย่างไรให้ยั่งยืน” ขึ้นในวันที่ 25 พ.ย.2568 ณ ห้อง Multiverse Room ศูนย์ Energy Complex
โดยได้รับเกียรติจากนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกล่าวเปิดงานสัมมนาและปาฐกถาในหัวข้อ “ความท้าทายพลังงานไทย เปลี่ยนผ่านอย่างไรให้ยั่งยืน” พร้อมด้วยนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้บรรยายในหัวข้อ “ภาพรวมความท้าทายพลังงานไทย” รวมถึงเชิญวิทยากรที่มีความรู้ ประสบการณ์ ทั้งในภาครัฐที่กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน และภาควิชาการ มาช่วยนำเสนอข้อมูลและข้อเสนอแนะ

นาย วัชรพงศ์ ทองรุ่ง บรรณาธิการบริหารศูนย์ข่าวพลังงาน Energy News Center กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ที่เข้าร่วมสัมมนาหรือผู้ที่ได้รับชมบันทึกการสัมมนา หรือการรายงานข่าวที่จะเกิดหลังจากงานสัมมนาครั้งนี้จะได้รับประโยชน์ และมีส่วนช่วยกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศเพื่อให้เกิดความสมดุลในสามมิติดังกล่าวได้อย่างแท้จริง

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกล่าวเปิดงานสัมมนาและปาฐกถาในหัวข้อ “ความท้าทายพลังงานไทย เปลี่ยนผ่านอย่างไรให้ยั่งยืน” โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งจากความไม่มั่นคงทางพลังงานระดับโลก ภัยคุกคามทางไซเบอร์ และแรงกดดันจากการเร่งปรับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นถึง 15 ปี จากปี 2065 เป็นปี 2050 เพื่อตอบโจทย์นี้ กระทรวงพลังงานจึงได้นำเสนอนโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงาน ผ่านโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้รองรับการเปลี่ยนผ่านและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ผ่านมาตรการต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1 ล้านล้านบาท และทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยเร่งผลักดัน 3 มาตรการ 10 แผนงาน/โครงการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 โซลาร์เพื่อประชาชน
“โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน” เป้าหมายกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนได้กว่า 30,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 1,785ตำแหน่ง และยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.919 ล้านตันต่อปี
– “โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร” ตั้งเป้าหมายดำเนินการ 250 ระบบ แบ่งเป็นระบบนำร่อง 50 ระบบ และระบบขยายผล 200 ระบบ ประชาชนจะได้รับประโยชน์ 439 ล้านบาทต่อปี เกิดการจ้างงาน 3,000 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.001 ล้านตันต่อปี
-“โครงการโซลาร์ภาครัฐ” ส่งเสริมพลังงานสะอาดลดภาระงบประมาณค่าสาธารณูปโภคค่าไฟฟ้า คาดว่าหน่วยงานภาครัฐจะประหยัดค่าสาธารณูปโภค 9,000 ล้านบาทต่อปี
-“โครงการส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อปด้วยมาตรการภาษี” ตั้งเป้ามีผู้เข้าร่วม 90,000 ครัวเรือน กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุน ได้ 19,800 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 448 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.26 ล้านตันต่อปี
-“โครงการโซลาร์สูบน้ำระบบประปาหมู่บ้าน” เป้าหมาย 5,000 ระบบ ลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าและเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
-“โครงการโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลัก กฟผ.” (เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์) ซึ่งมีต้นทุนต่ำ กำลังการผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ ช่วยให้ต้นทุนไฟฟ้าถูกลง เกิดการจ้างงาน 5,052 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 0.824 ล้านตันต่อปี
มาตรการที่ 2 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม ได้แก่
-“มาตรการ Direct PPA” การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม ได้เร่งดำเนินการ “โครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง” หรือ Direct PPA 2,000 เมกะวัตต์ รองรับอุตสาหกรรม Data Center คาดว่าจะกระตุ้นการลงทุน 60,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 3,094 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 1.66 ล้านตันต่อปี
-“การพัฒนาระบบส่งระบบจำหน่ายไฟฟ้า ในพื้นที่ EEC” คาดว่าจะรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้า 3,800 เมกะวัตต์ กระตุ้นการลงทุน 580,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงาน 4,500 ตำแหน่ง โดยให้ กฟผ.เป็นผู้ลงทุน และข้อมูลที่ได้จาก BOI พบว่า มีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนให้กับธุรกิจ Data Center ประมาณ 30-40 แห่งแล้ว

มาตรการที่ 3 สร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว รองรับ Net Zero Emission 2050 ประกอบด้วย
-“การจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า(PDP) ฉบับใหม่” ซึ่งได้จัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาดำเนินการ พร้อมสั่งการให้ดำเนินการจัดทำแผนแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน หรือเสร็จสิ้นประมาณเดือน ม.ค.2569 โดยแผนPDP ฉบับใหม่ต้องตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero Emission 2050 ซึ่งอาศัยหลายปัจจัย ทั้งการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด การสร้างสมดุลพลังงานเสถียร ดูเรื่องเทคโนโลยีพลังงานใหม่ๆ เช่น ไฮโดรเจน – แอมโมเนีย ที่ได้ประกาศเป็นเชื้อเพลิงแล้วซึ่งต่อไปจะมีมาตรการออกมารองรับการขนส่ง และมาตรฐานความปลอดภัย นอกจากนี้ยังศึกษาเรื่องของเทคโนโลยี SMR ด้วย
-“พัฒนาการดักจับ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CCS) ซึ่งตั้งเป้าหมายกักเก็บคาร์บอนจาแหล่งอาทิตย์ 1 ล้านตันต่อปี และกักเก็บคาร์บอน แหล่งอ่าวไทยตอนบน 10 ล้านตันต่อปี คาดว่ากระตุ้นการลงทุน 540,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 11,000 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 228 ล้านตันต่อปี(รวม 2 แหล่ง)
“ล่าสุด ท่านนายกฯของไทย ได้เดินทางไปพบกับนายกฯสิงคโปร์ ซึ่งได้แสดงความสนใจโครงการ CCS ของไทย จึงถือเป็นโอกาสที่ดี หากทางสิงคโปร์จะร่วมลงทุนในโครงการ CCS เพราะเป็นโครงการลงทุนที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ขณะเดียวกันทางมาเลเซีย ก็เริ่มสำรวจพื้นที่เพื่อเตรียมดำเนินโครงการCCS เช่นกัน ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันในโครงการCCS ถ้าไทยผลักดันโครงการให้เกิดขึ้นได้ ก็เป็นโอกาสในอนาคต โดยปัจจุบันก็เริ่มนำร่องด้วยโครงการของ ปตท.สผ. ที่ต้องปรับปรุงกฎระเบียบต่าง และเดินหน้านำเรือจากญี่ปุ่นเข้ามาสำรวจพื้นที่ให้ได้เพื่อให้โครงการเกิดขึ้นได้จริง”

นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน บรรยายในหัวข้อ “ภาพรวมความท้าทายพลังงานไทย” โดยระบุว่า การกำหนดนโยบายของกระทรวงพลังงาน ยึดหลักสำคัญ 3 ด้าน ที่ต้องคำนึงควบคู่กันเพื่อออกนโยบายที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศ ได้แก่ ด้านความมั่นคงทางพลังงาน, พลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และพลังงานคาร์บอนต่ำ โดยเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้เสร็จภายใน 3 เดือน ซึ่งจะต้องจัดทำพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ ให้สอดคล้องกับโหลดไฟฟ้าที่เปลี่ยนไปรองรับธุรกิจ EV,Data Center, AI,IOT, Robotic โดยคาดว่า Data Center จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้า 4 กิกวัตต์(GW) ภายในปี 2580 จากปัจจุบัน Data Center ใช้ไฟฟ้า 0.12 GW
ดังนั้น แผน PDP ฉบับใหม่ จะต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น รวมถึงปรับเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเทคโนโลยี Small Modular Reactors (SMR) ให้เพิ่มขึ้นจากแผนเดิมตั้งเป้าไว้ 600 เมกะวัตต์ ในปี 2580 แต่จะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น ยังต้องศึกษาข้อมูลที่เหมาะสม อีกทั้งควรเปิดกว้างโอกาสการลงทุนนอกเหนือจากการดำเนินการเฉพาะ กฟผ. ซึ่งในช่วง 5 ปีแรก ควรเร่งวางกฎกติกาออกมาให้ชัดเจน และประสานงานร่วมกับหลายกระทรวง โดยกระทรวงพลังงาน จะต้องตั้งคณะทำงานฯ 4 อนุกรรมฯ ขึ้นมาศึกษาพิจารณาเรื่องกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และ เทคโนโลยีที่เหมาะสม รวมถึงพิจารณาว่า จำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรศูนย์กำกับดูแลแบบรวมศูนย์ หรือ แยกกันด้วย
“มองว่า SMR ในอนาคตจะเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพตอบโจทย์ Net Zero จะนำไปสู่การเปิดเสรีไฟฟ้า และเมื่อถึงเวลานั้นใครๆก็สร้างโรงไฟฟ้าและเปิดตลาดเสรีซื้อขายไฟฟ้าเองได้”

ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ “ก๊าซธรรมชาติ เชื้อเพลิงหลักในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน” โดยระบุว่า ก๊าซฯยังเป็นเชื้อเพลิงที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ต่อเนื่องไปอีก 30-40 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน และประเทศไทย ยังต้องพึ่งพาก๊าซฯในการผลิตไฟฟ้าสูงกว่า 60% ในขณะที่แหล่งก๊าซฯที่ใช้อยู่ในปัจจุบันผ่านการใช้งานมากกว่า 30 ปี เกิดประโยชน์ต่อประเทศและอุตสาหกรรมอย่างมหาศาล แต่ปัจจุบันปริมาณสำรองก๊าซฯของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจนเข้าขั้นวิกฤติ ก๊าซฯจากเมียนมาและ JDA ส่งมาไทยได้น้อยลง ต้องมีการนำเข้า LNG จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น และกระทบค่าไฟฟ้า รวมถึงจัดเก็บรายได้จากการผลิตปิโตรเลียมในประเทศลดน้อยลง กระทบงบประมาณแผ่นดิน อีกทั้งบริษัทผู้รับสัมปทานเริ่มชะลอการลงทุน ลดการจ้างงาน และถอนตัวไปลงทุนที่อื่น
ดังนั้น มีความจำเป็นในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อจัดหาแหล่งก๊าซฯในไทย โดยเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ แก้ไขปรับปรุงระบบค่าภาคหลวงและภาษีให้จูงใจลงทุน, บริหารจัดการแหล่งก๊าซฯในแปลงสัมปทานหมดอายุแต่ยังมีประสิทธิภาพในอ่าวไทย และเจรจาข้อยุติในเขตไหล่ทวีปในทะเลที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา(OCA)

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) บรรยายในหัวข้อ “แผน PDP ใหม่ตอบโจทย์อนาคตพลังงานประเทศ” โดยระบุว่า ล่าสุด คณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผน PDP (นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เป็นประธานอนุกรรมการ และนายคุรุจิต นาครทรรพ และปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นรองประธานอนุกรรมการ) ได้เริ่มประชุมนัดแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2568 โดยเบื้องต้น แผน PDP ฉบับใหม่ จะต้องตอบโจทย์ด้านพลังงานสะอาดและจำเป็นต้องเพิ่มพลังงานหมุนเวียน (พลังงานสีเขียว) กว่า 51% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
ทั้งนี้ แผน PDP ฉบับใหม่ จะมีความชัดเจนมากขึ้นใน 6 ด้าน ได้แก่ 1. สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าระหว่างภาครัฐควรอยู่ 51%และเอกชน 49% หรือไม่ 2.ควรขยายหรือต่ออายุโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำของ สปป.ลาว ที่ใกล้จะหมดอายุหรือไม่ 3. SMR ควรเข้ามาในระบบเร็วขึ้นหรือไม่ 4.การเพิ่มขึ้นของการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (IPS) จำเป็นต้องมีไฟฟ้าสำรอง (Backup) ให้หรือไม่ 5.เกณ์ความมั่นคงไฟฟ้า (LPLE) 0.7 วันต่อปี ควรเพิ่ม-ลดอย่างไรและการกำหนดปริมาณไฟฟ้าสำรองอย่างไร 6.แนวคิดการเปิดตลาดเสรีควรมีความชัดเจนมากขึ้น และ 7.การจัดทำพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าควรให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนก่อน

นายนที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในหัวข้อ “เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างไรให้ยั่งยืน” โดยระบุว่า การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ยั่งยืน ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับการจัดทำแผนพลังงานชาติ (NEP) ซึ่งแผน NEP ควรเร่งจัดทำให้เสร็จและประกาศใช้ภายในปี 2568 โดยกรอบของแผนควรแบ่งเป็น
1.ระยะสั้น มีช่วงระยะเวลา 5 ปี (2569-2573) เน้นเรื่องความต้องการของประเทศในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน และมูลค่าทางเศรษฐกิจ
2. ระยะยาว ควรมีช่วงสอดคล้องกับเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดเอง ( NDC ) แบบ 3.0 โดยเน้นเรื่องการบรรลุเป้าหมาย NDC ที่ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40%
รวมทั้งต้องทบทวนแผนให้มีความยืดหยุ่น ประมาณทุกๆ 2 ปี โดยขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความต้องการใช้ไฟฟ้า การเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัจจัยตอบสนองความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและผู้ใช้ไฟฟ้า (Direct PPA) เบื้องต้นที่รัฐกำหนด 2,000 เมกะวัตต์ เป็นโอกาสทองของประเทศที่จะใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเสรีไฟฟ้า แต่อยากให้พิจารณาแบ่งสัดส่วนปริมาณไฟฟ้าดังกล่าว เช่น 500 เมกะวัตต์ ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเก่าด้วย เนื่องจากเป็นภาคเอกชนที่ร่วมช่วยภาครัฐรักษาความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าประเทศมานาน แทนที่จะกำหนดให้เฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหม่อย่างเดียว

ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ กล่าวในหัวข้อ “ความท้าทายสู่เป้าหมาย Net Zero” โดยระบุว่า ปัจจุบัน มีภาคธุรกิจเพียง 31% จาก 718 บริษัท ที่มีแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่วนอีก 69% ยังไม่มีแผนลดก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากขาดเงินทุน การมีข้อจำกัดทางการเงิน และกฎหมายไม่จูงใจให้ลงทุนในเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น
ทั้งนี้ ได้เสนอแนะเชิงนโยบาย 8 ข้อสำคัญที่ผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจก ประกอบด้วย 1.เร่งผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.ออกมาตรการกำหนดราคาคาร์บอนที่เหมาะสมกับบริบทของไทย 3. ปลดล็อคกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.สนับสนุนภาคส่วนต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำรองสำหรับสนับสนุนการดำเนินงานด้านการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
5.สร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้บริโภคและภาคธุรกิจให้เห็นถึงความสำคัญของการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 6.สนับสนุนให้ภาคธุรกิจตรวจวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรและผลิตภัณฑ์ 7.การพัฒนาระบบตรวจวัด รายงานผล และทวนสอบการปล่อยและการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ8 การมีมาตรการเพื่อบรรเทาของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำต่อกลุ่มเปราะบาง


