ผู้ชมทั้งหมด 86

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาเกิดวิกฤตไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ (Blackout) ทั่วกรุงมาดริดและเมืองบาร์เซโลนาของประเทศสเปน และเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส รวมถึงบางส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งบริษัท Redes Energéticas Nacionais (REN) ผู้ดูแลโครงข่ายไฟฟ้าของโปรตุเกส และบริษัท Red Eléctrica de España (REE) เป็นผู้ดูแลโครงข่ายไฟฟ้าของสเปน ระบุเหตุการณ์ไฟฟ้าดับนั้นเกิดจากบรรยากาศผิดปกติ ซึ่งมีต้นเหตุมาจากความแปรปรวนของอุณหภูมิ (Temperature Fluctuation) อย่างรวดเร็วในพื้นที่ประเทศสเปนทำให้สายส่งไฟฟ้าที่เชื่อมโยงระหว่างสเปนและฝรั่งเศสขัดข้องไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ ส่งผลให้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าในสเปนไม่มีเสถียรภาพ และลุกลามบานปลายไปยังสายส่งเชื่อมโยงระหว่างสเปน-โปรตุเกสจนเกิดเหตุขัดข้องจ่ายกระแสไฟฟ้าไม่ได้ตามไปอีก เมื่อระบบไฟฟ้าขาดความเสถียรจึงเป็นเหตุให้โรงไฟฟ้าปลดตัวเองออกจากระบบผลิต เกิดไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง
ทั้งนี้จากเหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่นั้นส่งผลกระทบต่อการใช้ไฟฟ้าของบ้านเรือนและสำนักงาน ระบบขนส่งสาธารณะต้องหยุดให้บริการ เที่ยวบินถูกยกเลิก โรงพยาบาลยกเลิกการผ่าตัด การสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือถูกรบกวนอย่างรุนแรง และแม้แต่การแข่งขันเทนนิสมาดริดโอเพ่นต้องหยุดชะงักสร้างความโกลาหลให้กับประชาชนหลายล้านคน และความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือ บทเรียนราคาแพงที่หลายประเทศต้องตระหนักถึงสาเหตุสำคัญของการเกิดไฟฟ้าดับ



โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหนุนความมั่นคงระบบไฟฟ้าไทย
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลสถิติของ European Network of Transmission System Operators for Electricity (ENTSO-e) ซึ่งเป็นเครือข่ายผู้ควบคุมระบบส่งไฟฟ้าแห่งยุโรป แสดงให้เห็นว่าจากความแปรปรวนของอุณหภูมิทำให้มีการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 9,544 เมกะวัตต์ ในวันที่ 17 มีนาคม 2568 เพิ่มเป็น 19,060 เมกะวัตต์ ในวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่เกิดเหตุไฟฟ้าดับ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 76.5% ของความต้องการใช้ไฟฟ้า ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเดินเครื่องอยู่เพียง 7.3% ของกำลังผลิตติดตั้ง (สเปนมีกำลังผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าประเภทก๊าซธรรมชาติ 29,943 เมกะวัตต์)
โดยในช่วงที่เกิดเหตุไฟฟ้าดับในสเปนพบว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมหายไปจากระบบอย่างเฉียบพลัน 14,280 เมกะวัตต์ ภายใน 5 วินาที หรือเทียบเท่า 60% ของความต้องการใช้พลังงานทั้งประเทศ ซึ่งเป็นปริมาณไฟฟ้าที่มากเกินกว่าจะกู้คืนระบบได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว เมื่อระบบไฟฟ้าในสเปนล้มจึงส่งผลกระทบไปยังประเทศข้างเคียงเพราะสเปนมีการส่งไฟฟ้าไปยังโปรตุเกสมากถึง 2,119 เมกะวัตต์ และฝรั่งเศส 761 เมกะวัตต์ ซึ่งจากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาพลังงานทดแทนมากเกินไปก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านไฟฟ้า
ดังนั้นหากมีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนปริมาณมากก็จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงที่เดินเครื่องเป็นกำลังผลิตสำรองพร้อมจ่าย (Spinning Reserve) รองรับให้มากพอเช่นกัน เพราะโรงไฟฟ้าที่เป็น Spinning Reserve สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ในเวลารวดเร็วเพื่อช่วยรักษาความถี่ของระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้อยู่ในเกณฑ์ หากมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยจะเห็นได้ว่า ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ แผน PDP 2024 กำหนดให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 51% ในช่วงปลายแผนในปี 2580 เพื่อส่งเสริมให้มีระบบกักเก็บพลังงานเพียงพอ ควบคู่กับการพัฒนาโรงไฟฟ้าหลักเพื่อดูแลระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคง และไม่ให้เกิดความเสี่ยงแบบสเปน


กฟผ.ชัวร์เรื่องความมั่นคงระบบไฟฟ้า
สำหรับไทยนั้นมีหน่วยงานอย่าง การไฟฟ้าผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นการผลิตไฟฟ้า การให้บริการระบบส่งจ่ายไฟฟ้า รวมถึงศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator: SO) ซึ่งเป็น 3 เรื่องหลักที่กฟผ. ต้องกำกับดูแลให้เกิดความมั่นคง ดังนั้นรัฐบาลจะต้องสนับสนุนอย่างจริงจังให้กฟผ.ได้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงไฟฟ้า รวมทั้งพัฒนาระบบไฟฟ้าให้เกิดความยั่งยืน สิ่งสำคัญต้องไม่ให้บริษัทเอกชนรายใหญ่มาแทรกแซงได้ เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ กฟผ. ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า เสริมความมั่นคงไฟฟ้า ซึ่งจากเหตุการณ์ข้างต้นจะเห็นว่าเสถียรภาพของระบบไฟฟ้ากำลังมีความสำคัญมาก กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งกฟผ. จะมีระบบป้องกันพิเศษที่สามารถปลดโรงไฟฟ้าหรือโหลดที่จุดสำคัญ มีการควบคุมโรงไฟฟ้าที่เป็น Spinning Reserve ให้อยู่ในเกณฑ์ เหมาะสมและเพียงพอกับสัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมถึงมีโรงไฟฟ้าที่เป็นกำลังผลิตสำรองของระบบผลิตไฟฟ้า (Operation Reserve-Standby) ซึ่งสามารถจ่ายไฟฟ้าในระยะเวลาอันสั้น (Quick Start) และมีสายส่งไฟฟ้าแรงสูงกระแสตรง (High Voltage Direct Current : HVDC) ที่เป็นเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพของระบบโครงข่ายไฟฟ้า

พร้อมกันนี้ กฟผ. ยังมีการปรับปรุงโรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Power Plant) สามารถเร่งหรือลดการผลิตไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้กำลังผลิตไฟฟ้าเพียงพอตามความต้องการในทุกช่วงเวลา ควบคู่กับการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ ซึ่งเป็นระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ มีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยต่ำ ช่วยลดความผันผวนและรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า โดยสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำตอนล่างไปกักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำตอนบน และปล่อยกลับมาผลิตไฟฟ้าในเวลาที่ต้องการ โดยปัจจุบัน กฟผ. มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ 3 แห่ง คือ เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี เขื่อนภูมิพล จ.ตาก และโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา โดยมีแผนดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการในกระบวนการที่เกี่ยวข้องก่อนเสนอเสนอ ครม. เพื่อขออนุมัติโครงการต่อไป