56 ปี “กฟผ.” รักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้าไทย สู่การขับเคลื่อนพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน

ผู้ชมทั้งหมด 64 

วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 56 ปี ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา กฟผ. ยังคงยืนหยัดในภารกิจหลักด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้าไทย พร้อมเร่งเดินหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศ

จากจุดเริ่มต้นของกำลังผลิตเพียง 908 เมกะวัตต์ ในปี 2512 ปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมถึง 52,017 เมกะวัตต์ โดยเป็นโรงไฟฟ้าของ กฟผ. จำนวน 16,261 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 31.26% และมีสายส่งไฟฟ้าทั่วประเทศรวมความยาวกว่า 40,041 วงจร-กิโลเมตร ช่วยผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

เดินหน้าเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างมั่นคง

ในยุคที่พลังงานสะอาดกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน กฟผ. ตระหนักถึงความจำเป็นในการรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน ควบคู่กับการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งแม้จะมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าไม่สูงนัก (Capacity Factor เพียง 17–20%) แต่ก็เป็นกุญแจสำคัญสู่อนาคตพลังงานสีเขียว

เพื่อลดข้อจำกัดและบริหารจัดการความผันผวนของแหล่งพลังงานหมุนเวียน กฟผ. จึงได้พัฒนาระบบผลิตและส่งไฟฟ้าให้มีความทันสมัยและยืดหยุ่น ภายใต้แนวคิด “Grid Modernization” ด้วยแนวทางสำคัญ ได้แก่:

  • ปรับปรุงโรงไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Power Plant)
    สามารถเร่งหรือลดกำลังการผลิตไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับความต้องการในแต่ละช่วงเวลา
  • พัฒนาโครงข่ายไฟฟ้ายืดหยุ่น (Grid Flexible)
    ผ่านการติดตั้งแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน ควบคู่กับโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบไฟฟ้า
  • จัดตั้งศูนย์พยากรณ์พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Forecast Center)
    เพื่อวางแผนการผลิตไฟฟ้าร่วมกับโรงไฟฟ้าหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • พัฒนาแพลตฟอร์มโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plant – VPP)
    ทำหน้าที่ควบรวมพลังงานหมุนเวียนหลากหลายประเภทและระบบกักเก็บพลังงานให้ทำงานร่วมกันอย่างสอดประสาน พร้อมบริหารจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM)

เร่งพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดแห่งอนาคต

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. เปิดเผยว่า ขณะนี้ กฟผ. อยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อเดินหน้า 3 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ ได้แก่

  • เขื่อนภูมิพล จ.ตาก
  • เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี

รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2569

พร้อมกันนี้ กฟผ. ยังเดินหน้าสร้างความเข้าใจเรื่อง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor – SMR) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีพลังงานสะอาดแห่งอนาคต ที่สามารถเดินเครื่องได้ตลอด 24 ชั่วโมง ร่วมกับพลังงานหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีต้นทุนค่าไฟฟ้าคงที่ และระบบความปลอดภัยที่ออกแบบให้ลดความซับซ้อน ควบคุมได้จากโรงงานผลิต พร้อมระบบหยุดทำงานอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ขนาดที่เล็กลงของ SMR ยังช่วยลดรัศมีพื้นที่ควบคุมการปล่อยสารกัมมันตรังสี จากเดิมที่อาจอยู่ในระดับ 16 กิโลเมตร เหลือน้อยกว่า 1 กิโลเมตรเท่านั้น

พัฒนาระบบส่งไฟฟ้าและดูแลสังคมอย่างยั่งยืน

กฟผ. ยังคงเดินหน้าปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าทั่วประเทศ ทั้งในระดับ 500 และ 230 กิโลโวลต์ รวมถึงผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าที่กระจายตามภูมิภาคต่าง ๆ

ในด้านความยั่งยืนต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม กฟผ. ดำเนินธุรกิจตามหลัก เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยนำวัสดุพลอยได้จากโรงไฟฟ้าแม่เมาะมาใช้ประโยชน์ เช่น

  • คอนกรีตจากเถ้าลอยลิกไนต์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ผลิตภัณฑ์ฮิวมิคแบบน้ำจากลีโอนาร์ไดต์ (Leonardite) สำหรับปรับปรุงดิน บำบัดน้ำเสีย หรือใช้ในอุตสาหกรรม

ผลักดันนวัตกรรมพลังงานสำหรับประชาชน

กฟผ. ยังเร่งขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EleX by EGAT และเครือข่ายพันธมิตร EleXA ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 413 แห่งทั่วประเทศ และตั้งเป้าขยายเพิ่มเป็น 520 แห่งภายในปี 2568

ขณะเดียวกัน กฟผ. เตรียมเปิดตัว ฉลากประสิทธิภาพพลังงานโฉมใหม่ ร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีของ “ฉลากเบอร์ 5” และส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อม

56 ปีแห่งความภาคภูมิใจของ กฟผ. คือบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนระบบไฟฟ้าของประเทศไทยอย่างมั่นคง ควบคู่กับการพัฒนาพลังงานสะอาดเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เพื่อพลังงานที่เพียงพอ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับคนไทยทุกคน