ส่องธุรกิจ “OR” ไตรมาส 2 ปี2568 กลุ่ม Lifestyle เติบโตแข็งแกร่ง หนุน EBITDA margin

ผู้ชมทั้งหมด 688 

ท่ามกลางปัญหาสงครามการค้าของประเทศมหาอำนาจ ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนหดตัวลง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก(GDP) ปี 2568 จะเติบโต 2.8% ชะลอตัวลงจากปี 2567 ที่ขยายตัวราว 3.3% ส่งผลต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจไทย ผ่านความผันผวนของราคาพลังงาน นโยบายการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยน โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่า ปี2568 GDP ไทย จะขยายตัว 1.8% ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินอยู่ในกรอบ  1.3- 2.0% ลดลงจากปี 2567 ที่เติบโต 2.5%

ขณะที่ ตัวเลขคาดการณ์ GDP ของประเทศเพื่อนบ้าน พบว่า มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าประเทศไทย เช่น กัมพูชา ขยายตัว 4% ,ลาว ขยายตัว 2.5%, เวียดนาม ขยายตัว 5.2% และฟิลิปปินส์ ขยายตัว  5.5%

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน “พีทีที สเตชั่น”ที่ครองส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) อันดับ 1 ของประเทศอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ณ 31 มี.ค.2568 พีทีที สเตชั่น มีมาร์เก็ตแชร์ อยู่ที่ 40.3% สูงสุดของประเทศ ยังมั่นใจว่า ปริมาณการขายน้ำมันทั้งปี 2568 จะเติบโตตามกรอบของ GDP ไทย ขณะเดียวกันทิศทางการเติบโตของ GDP ประเทศเพื่อนบ้านจะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจ Global ของ OR ให้มีปริมาณการขายที่เติบโตได้ดี โดยเฉพาะในกัมพูชา ที่ปีนี้ มีแผนจะเปิดสนามบินแห่งใหม่ จะช่วยให้ปริมาณการขายน้ำมันเครื่องบิน(Jet) ปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนี้ ข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยว ปี2568 ที่คาดว่าจะ อยู่ในระดับ 36.5 ล้านคน แม้ว่าลดลงเดิมที่เคยประมาณว่า จะอยู่ที่ 38-39 ล้านคน เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง แต่ก็จะมีนักท่องเที่ยวอินเดียและตะวันออกกลางเข้ามาทดแทน จะทำให้จำนวนเที่ยวบินของสายการบินต่างๆ คึกคักขึ้น และสนับสนุนให้ปริมาณการขายน้ำมันเครื่องบินของ OR เติบโต คาดว่า ในปีนี้ ยอดขายน้ำมันเครื่องบินโดยรวม จะกลับมาเติบโตอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด- 19 ในปี2562

นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มองว่า ในปีนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจ ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยเรื่องสงครามทางการค้า แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของ OR แต่สงครามทางการค้า จะส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทย ทำให้ภาคการส่งออกอ่อนแอ และอาจกระทบต่ออำนาจการซื้อของผู้บริโภคลดลง ก็จะส่งทางอ้อมต่อ OR

อย่างไรก็ตาม OR เชื่อมั่นว่า กลุ่มธุรกิจ Lifestyle โดยเฉพาะธุรกิจกาแฟ ที่มีความพร้อมตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำถึงปลายน้ำ จะสามารถควบคุมต้นทุน และรักษาอัตราการทำกำไร(EBITDA margin) ได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป

โดยในช่วงไตรมาส 2 ปี2568 แนวโน้มการเติบโตของ กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ในเดือนเม.ย.เป็นช่วงที่ทำยอดขายได้ดี และช่วงต้นไตรมาส 2 เข้าสู่ฤดูร้อน ทำให้ยอดขายของคาเฟ่ อเมซอน ยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ที่ทำยอดขายเฉลี่ยต่อวันสูงสูด(นิวไฮ) อยู่ที่ 104 ล้านแก้ว ฉะนั้น ไตรมาส 2 ก็คาดว่า จะรักษายอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านแก้วต่อวัน และรักษาอัตราการทำกำไร(EBITDA margin) ได้แข็งแกร่ง

ส่วนกลุ่มธุรกิจ Mobility ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา และปริมาณการขายจะอ่อนตัวลงตามฤดูกาล (seasonal) เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งต้องระมัดระวังเรื่องการขาดทุนจากการสต็อกน้ำมัน (Stock Loss) เล็กน้อย แต่ราคาน้ำมันไม่ได้ลดลงอย่างฉับพลัน ฉะนั้นมาร์จิ้นจะยังอยู่ในกรอบที่ประเมินไว้

“OR ประเมินทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบ ปีนี้ ยังมีความผันผวนสูง ฉะนั้น การแกว่งตัวจะอยู่ในกรอบกว้าง ที่ระดับ 50- 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งธุรกิจน้ำมันจะต้องมอนิเตอร์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรักษาระดับต้นทุนให้เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาขาดทุนจากการสต็อกน้ำมัน (Stock Loss) และยังต้องหาโอกาสเข้าไปทำประกันความเสี่ยง (Hedging) ในบางผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงด้านราคา”

โดยปี 2568 OR มีแผนสร้างการเติบโตจากการขยายสาขาสถานีบริการน้ำมัน “พีทีที สเตชั่น” ในไทยเพิ่มขึ้น 100 แห่ง และ สถานีชาร์จ EV Station PluZ เพิ่มขึ้น 250 แห่ง หรือ เพิ่มขึ้น 600 หัวจ่าย(DC)

ขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจน้ำมัน(มาร์เก็ตแชร์) ในปี2568 คาดว่า จะรักษาระดับได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 (ณ สิ้น 31 มี.ค.2568) อยู่ที่ 40.3% อันดับ 1 ของ ประเทศ โดยเฉลี่ยทั้งปีนี้ อาจปรับเพิ่มขึ้นได้อีกราว 1-2% จากการจัดทำ loyalty program กระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่อง เช่น การสมัครเมนเบอร์แล้วได้รับส่วนลดเพิ่มเติม ทั้งสมาชิกบูลพลัส และ สมาชิก xplORe

อย่างไรก็ตาม OR ยังเดินหน้าสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจต่อเนื่อง ผ่านแผนการควบรวมหรือซื้อกิจการ(M&A) โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาทั้งธุรกิจ Mobility และ Lifestyle ซึ่งที่ในส่วนของธุรกิจ Lifestyle น่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงต้นไตรมาส 3 ปีนี้

นอกจากนี้ ตามนโยบายของบริษัทแม่ คือ ปตท.ที่ส่งสัญญาณให้บริษัทในเครือเดินหน้าหาพันธมิตรเข้ามาเสริมแกร่งให้กับธุรกิจในอนาคตนั้น  OR อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูลในหลายๆด้าน แม้ว่า ขณะนี้จะยังไม่มีความชัดเจน แต่หากได้ข้อสรุปแล้วจะเปิดเผยข้อมูลให้กับนักลงทุนได้ทราบต่อไป  ขณะที่ สถานะการเงินของ OR อยู่ในระดับแข็งแกร่ง ณ สิ้น 31 มี.ค.2568 มีกระแสเงินสด อยู่ที่ 42,743 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในปี 2568 OR จัดสรรงบลงทุนรวมอยู่ที่ 18,886.9 ล้านบาท แบ่งเป็น

1.ธุรกิจ Mobility อยู่ที่ 7,656.7 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 40.5%) หลักๆจะใช้สำหรับการขยายสถานีบริการใหม่ ประมาณ 100 สาขา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน รวมถึงการลงทุนในสถานีชาร์จ EV

2.ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business)อยู่ที่ 7,280.4 ล้านบาท(คิดเป็นสัดส่วน 38.5%) โดยเน้นครอบคลุมการขยายสาขา Café Amazon และการปรับปรุงร้านค้าเดิม รวมถึงการเตรียมงบประมาณรองรับโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A)

3.ธุรกิจต่างประเทศ (Global Business) อยู่ที่ 2,771.8 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 14.7%) มุ่งเน้นการขยายสถานีบริการ และร้าน Café Amazon ในตลาดต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับ กัมพูชา ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง

4.การลงทุนด้านนวัตกรรมและดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Innovation & New Business) อยู่ที่ 1,178 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 6.3%) เน้นพัฒนาด้าน Digital Platform เพื่อสนับสนุนธุรกิจ Mobility และ Lifestyle ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ข้อมูลสิ้นไตรมาส 1 (ณ 31 มี.ค.2568) OR มีสถานีบริการ PTT Station ทั้งสิ้น 2,761 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 2,343 แห่ง ในต่างประเทศ 418 แห่ง มีร้านคาเฟ่ อเมซอน อยู่ที่ 4,898 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 4,4472 แห่ง ในต่างประเทศ 426 แห่ง มีสถานีชาร์จ EV Station PluZ จำนวน 1,267 แห่ง หรือ ติดตั้ง 2,502 หัวชาร์จ(DC) ครอบคลุม 77 จังหวัด และมีร้าน Convenience Store จำนวน 2,421 สาขา