ผู้ชมทั้งหมด 69
นายกฯ ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ สั่ง “กระทรวงพลังงาน” ติดตามสถานการณ์ “อิหร่าน-อิสราเอล” อย่างใกล้ชิด พร้อมดูแลราคา-ความมั่นคงทางพลังงานให้กับประชาชน ด้าน “ปลัดกระทรวงพลังงาน” รับลูก ลั่นพร้อมหารือ ก.คลัง ลดภาษีสรรพสามิตหากราคาน้ำมันดิบทะลุ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หวังตรึงดีเซลไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร แย้ม เตรียมเสนอ ครม.ไฟเขียว มาตรการส่งเสริมกลุ่มบ้านอยู่อาศัย ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ นำลดหย่อนภาษีเงินได้ฯ

วันนี้ (18 มิถุนายน 2568) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 5/2568 ณ ห้อง Synergy Hall ชั้น 6 ศูนย์ Energy Complex กระทรวงพลังงาน โดยมีพันเอก เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน และนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมผู้บริหารระดับสูงให้การต้อนรับ

โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานปรับปรุงโครงสร้างพลังงานให้มีความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งขอให้ติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิหร่านและอิสราเอลอย่างใกล้ชิด

จากนั้น นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะกระทรวงเจ้าภาพการจัดประชุม ได้รายงานสถานการณ์การใช้พลังงานของประเทศไทย ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้กระทรวงพลังงาน เตรียมมาตรการรองรับหากสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านมีความรุนแรงขึ้น ทั้งการดูแลราคาพลังงานและความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
โดยในส่วนการดูแลผลกระทบราคาน้ำมันในประเทศ ปัจจุบัน ยังมีกลไกจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะนำมาดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ไม่ให้ปรับเกิน 33 บาทต่อลิตรได้ จากปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 32 บาทต่อลิตร โดยกลไกกองทุนน้ำมันฯ ยังสามารถรองรับการปรับขึ้นราคาน้ำมันดิบดูไบได้อีก 4-5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือ ปรับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่หากเกินระดับดังกล่าวอาจต้องหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อใช้มาตรการภาษีสรรพสามิตเข้ามาช่วยพยุงราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเพิ่มเติม เพื่อพยุงราคาดีเซล
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานเตรียมหารือกับผู้ค้ามาตรา 7 เพื่อขอให้ปรับเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันมากกว่าที่กฎหมายกำหนด จากปัจจุบันที่ไทยมีสำรองตามกฎหมายน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 60 วัน
สำหรับปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ ปัจจุบันมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,337 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 25 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,457 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 19 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1,874 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 16 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะมีการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศเพื่อลดผลกระทบด้านราคาให้มากที่สุด


ทั้งนี้ สถานการณ์สู้รบดังกล่าว ยังส่งผลกระทบต่อราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ปรับขึ้น 13 ดอลลาร์ฯต่อล้านบีทียู จากเดิมราคาอยู่ที่ 11 ดอลลลาร์ฯต่อล้านบีทียู ประกอบกับปัจจุบันต่างประเทศเริ่มเตรียมพร้อมสำรอง LNG รองรับฤดูหนาวในช่วงนี้ จึงอาจส่งผลกระทบต่อราคาค่าไฟฟ้าได้ ดังนั้น แนวทางดูแลค่าไฟฟ้าตลอดทั้งปีนี้ ให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น เบื้องต้น กระทรวงพลังงาน ได้หารือกับ คณะกรรมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (บอร์ด กฟผ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาไว้ 4-5 เพื่อเตรียมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาในสัปดาห์หน้า
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงาน ได้รายงานนายกรัฐมนตรี ถึงมาตรการส่งเสริมให้บ้านอยู่อาศัยติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ขนาดไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ ให้สามารถนำมาลดหย่อนภาษีนิติบุคคล ซึ่งกระทรวงพลังงานได้หารือกับกระทรวงการคลังเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดต่างๆ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป เบื้องต้นจะครอบคลุมกลุ่มผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปรายใหม่ ที่ติดตั้งในปี 2568 ส่วนผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปรายเก่า ยังต้องรอพิจารณาว่าจะสามารถเข้าร่วมโครงการได้หรือไม่
สำหรับสถานการณ์ด้านพลังงานในปีที่ผ่านมา มีการนำเข้าและมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 93% เมื่อเทียบกับความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีการใช้ไฟฟ้า 2.1 แสนล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5% และความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือ Peak อยู่ที่ 36,792 เมกะวัตต์หรือเพิ่มขึ้นถึง 5% นอกจากนั้น ในส่วนของภารกิจสำคัญของกระทรวงพลังงาน ได้นำเสนอการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ทั้งการบริหารจัดการเพื่อลดค่าไฟฟ้า ซึ่งตลอดปี 2567 จนถึงปัจจุบัน อัตราค่าไฟฟ้าก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนค่าน้ำมัน กระทรวงพลังงานก็ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยในยามที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาสูง และบริหารจัดการจนสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากมีหนี้กว่า 120,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว จนปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 36,200 ล้านบาท รวมทั้งยังมีการตรึงราคาก๊าซหุงต้มหรือ LPG และ NGV ซึ่งเป็นต้นทุนในการประกอบอาชีพของประชาชน


นอกจากนี้ ยังได้เร่งขับเคลื่อน “เศรษฐกิจสีเขียว” ด้านพลังงานที่ครอบคลุมทั้งการใช้และการจัดหา โดยในด้านการใช้ ได้เริ่มต้นการส่งเสริมการลดการใช้พลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งทำให้ปีที่ผ่านมา สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 110 ล้านหน่วย และลดการใช้น้ำมันได้กว่า 4 ล้านลิตร การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น ระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เตาชีวมวล ส่วนในด้านการจัดหา ได้เร่งพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน และลดขั้นตอนการขออนุญาตเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและเอกชน สามารถเข้าถึงและให้เกิดการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Rooftop รวมทั้งการเปิดประมูลสัมปทานขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมทั้งพื้นที่บนบกและในทะเล และการพิจารณาความเป็นไปได้ของการจัดหา LNG จากแหล่งอะแลสกา ซึ่งเป็นแหล่งทางเลือกที่มีศักยภาพและอาจช่วยลดต้นทุนการจัดหา LNG ของประเทศได้
ในด้านสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมา ก็ได้ร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรุงเทพมหานคร ในการร่วมกันลดฝุ่น PM2.5 และในอนาคตก็ได้วางแผนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR (โรงไฟฟ้าจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก) การส่งเสริมการใช้น้ำมัน SAF ในอุตสาหกรรมการบิน โดยร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) กระทรวงอุตสาหกรรม และ กระทรวงการคลัง ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเทรนด์โลกที่กำลังจะมา รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมให้เป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS
ส่วนการบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายระหว่างกระทรวงพลังงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการหารือในที่ประชุมที่สำคัญ อาทิ การขอเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ด้านปิโตรเลียม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ กรมศิลปากร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การส่งเสริมการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม การส่งเสริมการใช้ Solar Rooftop หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุทกศาสตร์ กรมเจ้าท่า เป็นต้น


“วันนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นเจ้าภาพในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ซึ่งมีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุม กระทรวงพลังงานก็ได้นำเสนอภารกิจ ผลงานที่สำคัญ และแผนงานในอนาคตที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ยังคงมุ่งเน้น 3 เสาหลักสำคัญในการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน ได้แก่ 1. ความมั่นคงทางพลังงาน โดยภาคการผลิตและการใช้ต้องมีความมั่นคง เร่งจัดหาแหล่งพลังงานราคาถูกเพิ่มขึ้น 2. พลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าสีเขียวเพื่อดึงดูดให้ต่างชาติหันมาลงทุนตั้งโรงงานและ Data Center ในประเทศ 3. พลังงานคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาด ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานทั้งภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรม การกำหนดมาตรฐานต่างๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญ และคาดว่าจะได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี”
นอกจากนั้น ในปีหน้า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ Gastech 2026 ซึ่งเป็นการประชุมและแสดงนิทรรศการด้านก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะจัดในเดือนกันยายน 2569 คาดว่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศได้กว่า 4,100 ล้านบาท