ผู้ชมทั้งหมด 103
กรมทางหลวง ลงนามสัญญาจ้าง STEC ก่อสร้างมอเตอร์เวย์ M7 ส่วนต่อขยายเชื่อมสนามบิน นานาชาติอู่ตะเภา มูลค่า 2,651 ล้านบาท กันยายนนี้เริ่มก่อสร้าง หนุน EEC ยกระดับประเทศสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า กรมทางหลวง ได้ลงนามสัญญาจ้างกับผู้รับจ้างจำนวน 2 สัญญาของโครงการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา (มอเตอร์เวย์ M7 ส่วนต่อขยายเชื่อมสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา) ประกอบด้วย 1.สัญญาจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง (Construction Supervision Consultant, CSC) กับกิจการค้าร่วม (Consortium) ประกอบด้วย Epsilon Co., Ltd., Index International Group Public Company Limited และ Decade Consultants Co., Ltd. วงเงินสัญญา 125,847,000 บาท 2.สัญญาจ้างก่อสร้าง กับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC วงเงินสัญญา 2,651,988,700 บาท โดยทั้งสองสัญญาเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณของราชอาณาจักรไทย และเงินกู้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank, ADB)
นายอภิรัฐ กล่าวว่า โครงการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)และการยกระดับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของประเทศ ซึ่งจะช่วยรองรับปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารและสินค้ารวมถึงสนับสนุนการเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 7, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และแผนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ
โครงการดังกล่าวสืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2565 ที่ได้อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างทางยกระดับแนวใหม่ขนาด 4 ช่องจราจร และขยายช่องทางจราจรเพิ่มเติมในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งจะช่วยลดระยะทางจากการเดินทางโดยทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด สู่สนามบินอู่ตะเภา จากเดิม 5 กิโลเมตร เหลือเพียง 1.92 กิโลเมตร รวมถึงปรับปรุงการเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) โครงการนี้จะช่วยให้ประชาชนเดินทางเข้า-ออกสนามบินอู่ตะเภาได้อย่างสะดวก รวดเร็ว รองรับ EEC ให้เป็นเมืองท่า ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบินและเมืองธุรกิจที่สำคัญของไทย

สำหรับรูปแบบโครงการครอบคลุมการก่อสร้างทางยกระดับแนวใหม่ขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 1.92 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างทางบริการใต้ทางยกระดับ รวมถึงช่องทางเลี้ยวและทางแยกต่างระดับบริเวณจุดตัดกับทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) โดยมีจุดเริ่มต้นจากทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด กม.ที่ 148+328 ไปจนถึงบริเวณทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3 พร้อมทั้งทำการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) ระหว่าง กม.ที่ 186+350 ถึง กม.ที่ 192+000 โดยขยายจาก 4 ช่องจราจร เป็น 8 ช่องจราจร รวมระยะทาง 5.65 กิโลเมตร
นายอภิรัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมทางหลวงได้ดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างอย่างโปร่งใส โดยมีการประกวดราคานานาชาติ และโครงการได้เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินงานเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล โครงการนี้มีระยะเวลาการก่อสร้างตามสัญญาอยู่ที่ 3 ปี โดยได้ดำเนินการเวนคืนที่ดินเสร็จสิ้น 100% แล้ว คาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2571
ทั้งนี้เมื่อโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาแล้วเสร็จ จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาว สามารถลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ประกอบการและประชาชนโดยการลดระยะทางเข้าสู่สนามบินอู่ตะเภา และการขยายช่องจราจรจะช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดปัญหาการจราจรติดขัด สนับสนุนการพัฒนา EEC ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการลงทุน การค้า และการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น
สอดคล้องกับเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการบินและเมืองธุรกิจที่สำคัญของไทย รองรับการเดินทางแบบไร้ร้อยต่อระหว่างสนามบินอู่ตะเภา รถไฟความเร็วสูง และการเดินทางทางถนน นับเป็นการเชื่อมต่อที่ สะดวกสบายจะช่วยสนับสนุนให้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภากลายเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 อย่างเต็มศักยภาพ รองรับปริมาณผู้โดยสารและสินค้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนเข้ามาในพื้นที่ ส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรม การค้า และบริการ พร้อมทั้งการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตในอนาคต