ผู้ชมทั้งหมด 180
ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ผันผวนหลังตลาดจับตาความคืบหน้าการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซีย–ยูเครน และมาตรการภาษีระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ที่จะถูกบังคับใช้ในวันที่ 27 ส.ค. นี้ คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 22 – 28 ส.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวนเนื่องจากตลาดจับตาการเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งยังไร้ความชัดเจน แม้มีความพยายามผลักดันการประชุมทวิภาคีโดยตรงก็ตาม ขณะเดียวกัน มาตรการการคว่ำบาตรทุติยภูมิต่อรัสเซียส่งผลให้อินเดียลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียลงกว่าร้อยละ 24 ในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ในขณะที่เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ร้อยละ 5 ได้ภายในปีนี้ ซึ่งอาจช่วยให้ความต้องการใช้น้ำมันโลกให้เติบโตมากขึ้นได้ นอกจากนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางจากปฏิบัติการของกองทัพอิสราเอลในกาซา ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านอุปทานน้ำมัน

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย
· นักลงทุนติดตามการเจรจาการหยุดยิงระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงไม่มีความชัดเจน โดยล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน อาจไม่ต้องการที่จะบรรลุข้อตกลง ส่งผลให้ตลาดกลับมากังวล ในขณะที่ทรัมป์ยังคงผลักดันให้มีการประชุมทวิภาคี (Bilaterial Meeting) ระหว่างผู้นำรัสเซียและยูเครน นอกจากนี้ ทางด้านรัสเซียยังคงยืนยันที่จะเดินหน้าส่งออกน้ำมันไปอินเดียต่อไป แม้สหรัฐฯ เตือนว่าจะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ทางการค้าก็ตาม
· ตลาดจับตามาตรการภาษีระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ โดยอินเดียมีแนวโน้มที่จะถูกจัดเก็บภาษีเป็นสองเท่าในวันที่ 27 ส.ค. ที่จะถึงนี้ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกับสหรัฐฯ ได้ ซึ่งท่าทีความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ตอนนี้ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก สหรัฐฯ ดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ด้านการค้าเป็นหลัก ขณะที่ทางด้านอินเดียมีความพยายามที่จะผลักดัน “ข้อตกลงทางการค้าแบบเป็นขั้นตอน” โดยไม่ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ พร้อมทั้งเดินหน้าขยายเครือข่ายพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการค้ากับประเทศอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อินเดียยืนยันว่าจะไม่ยอมทำข้อตกลงการค้าที่อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อเกษตรกรภายในประเทศ ทั้งนี้ ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบของอินเดียจากรัสเซียในเดือน ก.ค. 68 ลดลงร้อยละ 24.5 จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 66 เนื่องจากมาตรการภาษีทุติยภูมิของสหรัฐฯ ต่อประเทศผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันดิบภายในประเทศที่ปรับตัวลงในช่วงฤดูมรสุม
· ธนาคารจีน (PBOC) เผยว่าจะยังไม่เร่งใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายแบบเชิงรุก เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวจากผลกระทบการผลิตส่วนเกินในประเทศ ประกอบกับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยระบุว่าจะยังคงดำเนินนโยบายที่เน้นมาตรการสนับสนุนแบบเฉพาะเจาะจงต่อเศรษฐกิจ โดยคาดว่าภาวะเงินเฟ้อมีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในครึ่งปีแรกที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้นักวิเคราะห์คาดว่าจีนจะยังสามารถยอมรับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ยังคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ร้อยละ 5 ภายในปีนี้
· สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางยังคงตึงเครียด โดยล่าสุด กองทัพอิสราเอลได้ปฏิบัติการยึดเมืองกาซาซิตี ทางภาคเหนือของเขตฉนวนกาซา หลังแผนดังกล่าวได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการ รวมทั้งยังเตรียมเรียกกำลังพลสำรองอีก 60,000 นายเข้าประจำการในช่วงต้นเดือน ก.ย. ขณะเดียวกัน อิสราเอลอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอหยุดยิงเป็นเวลา 60 วัน ซึ่งทางกลุ่มฮามาสได้แสดงการตอบรับข้อเสนอดังกล่าวแล้ว
· ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประจำเดือน ก.ค. 68 รายงานยอดขายบ้านใหม่ เดือน ก.ค. 68 ดัชนีราคาบ้าน เดือน มิ.ย. 68 ดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล ไตรมาสที่ 2’68 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ไตรมาสที่ 2’68 ดัชนีการใช้จ่ายผู้บรโภคแท้จริง ไตรมาสที่ 2’68 รายได้ส่วนบุคคล เดือน ก.ค. 68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ส.ค. 68 ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ส.ค. 68 และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ กำไรภาคอุตสาหกรรมของจีน เดือน ส.ค. 68 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ เดือน ส.ค. 68
ทั้งนี้ ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 15 – 21 ส.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 0.46 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 63.06 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 0.19 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 66.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากราคาได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนยังคงชะลอตัว หลังยอดค้าปลีกจีน เดือน ก.ค. 68 เติบโตในระดับที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เดือน ธ.ค.67 ขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปจีนเดือน ก.ค.68 ปรับเพิ่มขึ้น 8.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเป็นระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เดือน ก.ค. 67 สะท้อนถึงอุปสงค์น้ำมันดิบจีนที่ยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีท่าทีผ่อนปรนต่อมาตรการการคว่ำบาตรต่อน้ำมันดิบของรัสเซียเนื่องจากไม่มีการพิจารณาเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมกับจีนสำหรับการซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซีย ซึ่งช่วยลดความกังวลและความเสี่ยงของการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมันดิบโลก รวมถึงคลี่คลายความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วย อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนหลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 15 ส.ค. 68 ลดลง 6.0 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 420.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลงเพียง 1.8 ล้านบาร์เรล
อีกทั้งตลาดจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลาสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุมสัมมนาที่จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 22 ส.ค. ที่เมืองแจ็คสัน โฮล โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น และแนวโน้มเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในปีนี้ที่ผ่านมา เฟดยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่กรอบ 4.25 – 4.50% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักต่อการคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนหน้า