BPP ประเมินทิศทางธุรกิจครึ่งหลังปี68 โตต่อเนื่อง ยอดขายไฟในสหรัฐฯ หนุน

ผู้ชมทั้งหมด 118 

สถานการณ์ความอ่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์,ความไม่แน่นนอนทางการค้าโลก,ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นตามเทรนด์การพัฒนาของเทคโนโลยีAI และนโยบายสนับสนุนการใช้พลังงานฟอสซิลโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ ปัจจัยเหล่านี้ ยังคงเป็นความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจพลังงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ที่บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP จับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ขณะเดียวกันจะต้องเร่งสร้างปัจจัยภายในให้มีความแข็งแรงพร้อมรับมือและรับโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้น ด้วยการบริหารจัดการกำลังการผลิตให้มีประสิทธิภาพ พร้อมต่อการเครื่องได้ทันต่อเวลา ควบคู่กับบริหารต้นทุนการเงินให้มั่นคง

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BPP มองว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 2568 จะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมามีค่าความร้อนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งแตกต่างจากช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ที่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อนของสหรัฐฯ ส่งผลให้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติโครงการ Temple I และ II ในสหรัฐฯ น่าจะมีผลประกอบการดีขึ้น ประกอบกับ บริษัทได้ดำเนินการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedge) เพื่อล็อกรายได้ไว้แล้วบางส่วน ซึ่งจะช่วยหนุนให้รายได้ปีนี้ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายการลงทุนภายใต้งบประมาณที่เตรียมไว้ประมาณ 200 – 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกใช้ไปแล้วในการลงทุนธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) ในญี่ปุ่นจำนวน 20 ล้านดอลลาร์ และเงินลงทุนที่เหลือไว้สำหรับรองรับการขยายธุรกิจและการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ของบริษัทในช่วงที่เหลือ เพื่อผลักดันการเติบโตของบริษัท ตามแผนลงทุนในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ที่ตั้งงบไว้ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อขยายกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ (MW) ภายในปี 2573 จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 3,600 MW พร้อมตั้งเป้ากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตมากกว่า 1.8 เท่า

ส่วนความคืบหน้าแผนการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯเพิ่มนั้น ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่หลายโครงการ ซึ่งมองโอกาสการขยายกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าก๊าซฯในสหรัฐฯยังเป็นเป้าหมายหลัก ที่จะผลักดันการเติบโตให้กับบริษัทตามแผน 5 ปี

“เทคโนโลยี SMR เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และบริษัทมีการศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ แต่ในประเทศไทยยังต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ รวมถึงภาครัฐยังไม่เปิดโอกาสให้กับภาคเอกชน แต่ในส่วนของบริษัทก็ศึกษาโอกาสทั้งในประเทศและต่างประเทศเตรียมพร้อมไว้ ซึ่งในส่วนของต่างประเทศมองว่า มีโอกาสเกิดขึ้นได้ก่อนโดยเฉพาะในสหรัฐฯที่เปิดกว้างในเรื่องนี้”

นายอิศรา กล่าวว่า สำหรับโรงไฟฟ้า BLCP ที่ใกล้จะหมดอายุสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากภาครัฐในช่วงต้นปี 2575 นั้น บริษัทจะใช้จังหวะที่ภาครัฐอยู่ระหว่างการทบทวนแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ(PDP)ใหม่ นำเสนอทางเลือกต่อภาครัฐพิจารณาในหลายแนวทาง เช่น การต่ออายุสัญญาโรงไฟฟ้าออกไปอีก 10 ปี ,การเปลี่ยนเชื้อเพลิงใหม่แทนถ่านหิน และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เป็นต้น โดยบริษัทยังเชื่อมันในศักยภาพของโรงไฟฟ้า BLCP ในปัจจุบันที่มีจุดแข็งในการช่วยความสร้างความมั่นของทางไฟฟ้าให้กับประเทศและมีต้นทุนผลิตไฟฟ้าในราคาถูก อย่างไรก็ตาม การจะได้รับการพิจารณาจากภาครัฐให้ดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น ควรจะต้องมีความชัดเจนก่อนที่โรงไฟฟ้าจะหมดอายุล่วงหน้า 2-3 ปี เนื่องจากโรงไฟฟ้าจะสิ้นสุดสัญญาเช่าพื้นที่กับทาง กนอ.ด้วย

สำหรับไฮไลท์ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2568 “BPP” มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

BPP มีกำไรสุทธิ 1,846  ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 4,486 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ Temple I และ II ปรับตัวดีขึ้น และมีกำไรจากการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน (Change in Fair Value of Financial Instrument) อันเป็นผลจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงในราคาที่ดี โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHPs) ในจีนที่บริหารต้นทุนถ่านหินได้มีประสิทธิภาพ และรายได้จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น

ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy): โรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งในจีน เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยใช้ชีวมวลร่วมกับเชื้อเพลิงหลักในสัดส่วนร้อยละ 10 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ราว 70,000 ตันต่อปี ส่วนโรงไฟฟ้าโจวผิงได้เริ่มก่อสร้างระบบท่อส่งไอน้ำฝั่งเหนือในเดือนกรกฎาคมและกำลังศึกษาการขยายท่อเพิ่มเติมไปยังฝั่งตะวันตกและตะวันออกเพื่อส่งมอบไอน้ำที่มีความเสถียรและคุ้มค่าให้แก่ภาคอุตสาหกรรมได้มากขึ้น ขณะที่โรงไฟฟ้า HPC ในสปป. ลาว และ BLCP ในไทย ยังคงรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ร้อยละ 89 และ 90 ตามลำดับ

ธุรกิจ Renewables+: โครงการอิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) แบตเตอรี่ฟาร์มในญี่ปุ่น กำลังไฟฟ้า 14.5 เมกะวัตต์ ความจุพลังงาน 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดย BPP ยังเดินหน้าขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) ที่ญี่ปุ่น ผ่าน Banpu NEXT ซึ่ง BPP ถือหุ้นร้อยละ 50 โดยตั้งเป้าสู่การเป็นผู้เล่นหลักในธุรกิจ BESS ของญี่ปุ่น พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุน BESS สู่ตลาดสหรัฐฯ ในอนาคต

ทั้งนี้ BPP ยังได้ประกาศพันธกิจใหม่ 3 ด้าน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสอดรับกับพลวัตของอุตสาหกรรมพลังงานโลก ได้แก่:

1. ผลักดันการเติบโตด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ความเชี่ยวชาญระดับสากล และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงการระดับโลก

2. ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อย CO2 และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานเพื่ออนาคต

3.ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการพัฒนาชุมชน ทั้งในด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ฯลฯ เพื่อสร้าง
การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

“ตลอดเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา BPP ดำเนินธุรกิจใน 8 ประเทศยุทธศาสตร์ในฐานะผู้นำและผู้บุกเบิกด้านพลังงาน สะท้อนศักยภาพในการสร้างสมดุลด้านพลังงาน ผ่านการกระจายพอร์ตธุรกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์เดิม และการลดการปล่อย CO2 อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบพลังงานคุณภาพสูงควบคู่กับผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม”