EGCO คาดผลประกอบการไตรมาส 3ปี 2568 โตขึ้นจากไตรมาส 2 เหตุได้รับปัจจัยหนุนจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาวเข้าสู่ฤดูฝนและดีมานด์ใช้ไฟในสหรัฐฯที่เติบโตจากธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์-AI ลุ้นรัฐชัดเจนโครงการ RE Biglot รอบที่ 2 ในเร็วๆนี้

ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยในงาน Oppday Q2/2025 ของEGCO วันที่ 1 ก.ย.2568 โดยระบุว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัท ยังเดินหน้าขยายการลงทุน ตามงบประมาณที่ตั้งไว้ 30,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และก๊าซฯ เพื่อให้บรรลุการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ภายในปี 2573
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท ช่วงไตรมาส 3 ปี26568 คาดว่า กำไรจะเติบโตขึ้นจากไตรมาส2 ที่ผ่านมา ที่รับรู้รายได้ 11,360 ล้านบาท และรับรู้กำไรจากการดำเนินงาน 1,895 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส3 จะได้รับปัจจัยหนุนจากการเข้าสู่ซีซั่นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาว ที่มีปริมาณน้ำมากขึ้นตามฤดูกาล และโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นจากดีมานด์ของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์และAI ขณะราคาซื้อขายไฟฟ้าในสหรัฐฯก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
รวมถึง โรงไฟฟ้า APEX ที่จะเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์(COD) อีก 2 โครงการในปีนี้ และปีหน้า อีกทั้ง การรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Supply Agreement – PSA) ฉบับใหม่ กำลังผลิต 400 เมกะวัตต์ ระยะเวลา 15 ปี ตลอดจนรับรู้รายได้จากการปิดดีลซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Wheatsborough กำลังผลิต 125 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 ในกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll ในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ECGO อยู่ระหว่างรอความชัดเจนการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ RE Biglot รอบที่ 2 ในรูปแบบ Feed-in Tarff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงในส่วนพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ซึ่ง บริษัทได้รับการคัดเลือกจำนวน 11 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 448 เมกะวัตต์ คาดว่า จะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้
อีกทั้ง EGCO ยังคงแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศ ผ่าน การลงทุนรูปแบบ M&A และ Greenfield รวมถึงศึกษาโอกาสธุรกิจใหม่ เช่น CCUS,ไฮโดรเจน,แอมโมเนีย และLNG เป็นต้น
“ที่ผ่านมา EGCO ได้รับใบอนุญาตผู้จัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper)จาก คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) แล้ว ดังนั้น มีความเป็นไปได้ที่ EGCO จะพิจารณาจัดซื้อ LNG จากโครงการอะแลสกาในอนาคต เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าในไทย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ เป็นต้น แต่จะไม่เข้าไปลงทุนแหล่งก๊าซฯ”

ดร.จิราพร กล่าวอีกว่า EGCO ยังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจระยะ 3 ปี (ปี 2568-2570) โดยมีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างยั่งยืน การบรรลุเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ และการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวนี้จะขับเคลื่อน ด้วยกลยุทธ์ “Triple P” 3 ด้าน ได้แก่
- Profitability and Performance Energizing เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรให้ดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อดูแลอัตราส่วนหนี้สินและรักษาอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ถือหุ้น ด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
- Power and Energy-related Focus เน้นลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักและรากฐานความแข็งแกร่งของ EGCO Group ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบ M&A และ Greenfield ตลอดจนแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยต่อยอดการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว 7 ประเทศ ด้วยการตั้งงบลงทุนปีละ 30,000 ล้านบาท
- Portfolio and People Management บริหารจัดการพอร์ตการลงทุนและทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้นสร้างความเป็นเลิศในกระบวนการดำเนินงาน (Operational Excellence) ให้ความสำคัญกับการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์เพื่อนำรายได้ไปแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ (Asset Recycling) ที่จะสร้างการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในระดับสากล ตลอดจนปรับปรุงกระบวนการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในกระบวนการต่าง ๆ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต
ปัจจุบัน EGCO Group มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,683 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,485 เมกะวัตต์ (คิดเป็น 22% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมทั้งบนบกและนอกชายฝั่งเซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐฯ