ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 58-68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนดิบเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผย บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจาสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19 ก.ย. – 25 ก.ย. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบคาดว่า ยังคงได้รับแรงหนุน หลังเฟดมีมติปรับลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.0– 4.25% เป็นครั้งแรก ในรอบเกือบปี เพื่อบรรเทาความชะลอตัวทางเศรษฐกิจและสนับสนุนการจ้างงาน ส่งผลให้เงินสกุลดอลลาร์แข็งค่าและกดดันค่าเงินเอเชีย พร้อมทั้งส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมปลายปีนี้ ขณะที่ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามรัสเซียและยูเครนยังคงทวีความรุนแรง หลังยูเครนโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังการกลั่นหดตัว
ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ เตรียมเดินหน้าคว่ำบาตรพลังงานรัสเซียเข้มข้นขึ้น และเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนและอินเดีย ส่วนอินเดียยังคงซื้อพลังงานจากรัสเซียและร่วมซ้อมรบนิวเคลียร์กับรัสเซียและเบลารุส สะท้อนความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับรัสเซีย แม้จะถูกสหรัฐฯ และยุโรปกดดัน แต่ล่าสุดมีท่าทีผ่อนคลายขึ้นจากการเจรจาการค้าทวิภาคีกับสหรัฐฯ ที่เป็นไปในเชิงบวก

สำหรับปัจจัยสาคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย
• เมื่อวันพุธที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติอนุมัติการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25 % มาอยู่ในกรอบ 4.0% – 4.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นับเป็นการปรับลดครั้งแรกตั้งแต่เดือน ธ.ค. 67 โดยในแถลงการณ์ ได้ระบุว่า เฟดให้เหตุผลเกี่ยวกับการเติบโตของกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีแรก การจ้างงานชะลอตัวลง และอัตราการว่างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในระดับต่า อย่างไรก็ดี การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ส่งผลให้เงินสกุลดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและกดดันสกุลเงินเอเชีย และเป็นการลดต้นทุนการกู้ยืมเงิน กระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และบรรเทาอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ลงขณะเดียวกัน เฟดได้ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือน ต.ค. และ ธ.ค. 68 และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของสหรัฐฯ โดย GDP ปีนี้ ปรับเพิ่มเป็น 1.6% จากการคาดการณ์เดิมเมื่อ มิ.ย. ที่ 1.4% และ GDP ในปี 2569 อยู่ที่ 1.8% ซึ่งปรับเพิ่มจากการคาดการณ์เดิมที่ 1.6%
• ตลาดยังคงกังวลต่อสถานการณ์สงครามรัสเซียและยูเครน หลังยูเครนได้ยกระดับความรุนแรง โดยทาการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ทาง Goldman Sachs ประเมินว่าการโจมตีโรงกลั่นหลายแห่งของรัสเซียตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. ถึงต้นเดือน ก.ย. 68 ส่งผลให้กาลังการกลั่นน้ามันภายในประเทศลดลงราว 3 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยล่าสุด ทางบริษัทผู้ดาเนินการท่อขนส่งน้ามันรัสเซียได้เตือนว่าผู้ผลิตน้ามันอาจจาเป็นต้องลดกาลังการผลิตลง และจากัดการใช้บริการท่อขนส่งเท่าที่จาเป็น หลังจากถูกยูเครนโจมตีทั้งท่าเรือและโรงกลั่นหลายแห่ง
• โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าพร้อมดาเนินมาตรการคว่ำบาตรพลังงานเพิ่มเติมต่อรัสเซีย โดยมีเงื่อนไขให้ประเทศสมาชิก NATO ทุกประเทศยุติการนาเข้านำ้มันจากรัสเซีย พร้อมทั้งประกาศแนวทางการกาหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและอินเดียที่ระดับ 50-100% โดยปัจจุบันยังคงมีประเทศสมาชิก NATO ได้แก่ ตุรกี ฮังการี และสโลวาเกีย ที่ยังนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยตุรกีเป็นผู้นำเข้าน้ำมันจากรัสเซียมากเป็นอันดับ 3 รองจากจีนและอินเดีย
• กระทรวงกลาโหมของอินเดียได้ส่งทหารจำนวน 65 นาย เข้าร่วมการซ้อมรบทางทหารโดยการใช้อาวุธนิวเคลียร์ร่วมกับรัสเซียและเบลารุสในสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างอินเดียและรัสเซีย ขณะที่ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังคงตึงเครียด เนื่องจากอินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ทางผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และอินเดียได้หารือกันเป็นครั้งแรกที่กรุงนิวเดลี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันข้อตกลงการค้าทวิภาคีที่รอการอนุมัติมาเป็นเวลานาน ซึ่งในแถลงการณ์ของกระทรวงพาณิชย์อินเดียระบุว่า การเจรจาครั้งนี้เป็นไปในทิศทางบวก และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเร่งรัดกระบวนการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ร่วมกันโดยเร็วที่สุด
• ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เดือน ก.ย. 68 จัดทาโดย S&P รายงานยอดขายบ้านใหม่ เดือน ส.ค. 68 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ประจาไตรมาสที่ 2 รายงานยอดขายบ้านมือสอง เดือน ส.ค. 68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ก.ย. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตเดือน ก.ย. จัดทำโดย HCOB และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ กำไรภาคอุตสาหกรรมของจีน เดือน ส.ค. 68
ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดราคาน้ามันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 58-68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ามันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 63-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 5 ก.ย. – 11 ก.ย. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 1.07 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 63.63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 1.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 67.66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังจากยูเครนได้เพิ่มความถี่การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่สาคัญของรัสเซีย เพื่อจากัดความสามารถในการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย
ขณะเดียวกัน ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมใน วันที่ 16-17 ก.ย. ซึ่งจะถือว่าเป็นการปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกของปี ส่งผลให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว และอุปสงค์ปรับเพิ่มขึ้น แต่ นักลงทุนยังคงกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว
อีกทั้ง ตลาดได้รับแรงหนุนหลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 12 ก.ย. 68 ลดลง 9.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 415.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งแตะระดับต่าสุดตั้งแต่ 20 มิ.ย. 68
อย่างไรก็ตาม อุปทานในตลาดมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นหลัง คาซัคสถานส่งน้ำมันดิบผ่านท่อบากู-ทบิลิซี-เจย์ฮานอีกครั้ง เมื่อวันเสาร์ ที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยบริษัทน้ำมันแห่งรัฐได้ทำการหยุดส่งไปเมื่อเดือนที่แล้ว หลังพบปัญหาด้านการปนเปื้อน