“พิพัฒน์” ลั่น 4 เดือน เร่งประกวดราคา 3 โครงการใหญ่ กรอบวงเงินรวม 3.74 หมื่นล้าน

Loading

“พิพัฒน์” ลั่นภายใน 4 เดือน เร่งประกวดราคา 3 โครงการ กรอบวงเงินรวม 3.74 หมื่นล้าน ดันรถไฟทางคู่เฟส 2 เข้าครม. 3 เส้นทางปีนี้ พร้อมจ่อประกาศแพคเกจลดค่าครองชีพประชาชนทั้งบก-ราง-น้ำ ภายใน 2 สัปดาห์ ระบุสายสีแดง -ม่วง ต้องกลับไปใช้ราคาเดิม 1 ต.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ย.เวลา 08.19 น. ที่กระทรวงคมนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เดินทางเข้ามาปฏิบัติหน้าที่เป็นวันแรก โดยนายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมมีภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ การดูแลมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่รวดเร็วและเท่าเทียม โดยตนตั้งใจทำงานร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารในสังกัดกระทรวงคมนาคม เพื่อผลักดันนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่เตรียมแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎในวันที่ 29-30 ก.ย.นี้ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่วันนี้ ตน และรัฐมนตรีช่วยว่าการกะทรวงคมนาคม ถือเป็นคนในครอบครัวคมนาคม แต่ตนมีระยะเวลา 4 เดือนก่อนที่จะมีการยุบสภาตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศไว้ ดังนั้นอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นภารกิจที่ผ่านงบประมาณปี 2569 เป็นเรียบร้อยแล้ว ขอให้ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างเต็มความสามารถ เพราะไทยถือว่ามีการเจริญเติบโตช้าที่สุดในอาเซียน แต่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศล้วนแต่ต้องใช้สิ่งที่กระทรวงคมนาคมรังสรรค์ และกระทรวงคมนาคมได้ชื่อว่าเป็นกระทรวงAAA++ ดังนั้นตนพร้อมที่จะทำงานอย่างหนัก และขอความร่วมแรงร่วมใจกันทำงานให้สมกับที่คนไทยรอคอยและตั้งความหวังไว้

สำหรับการผลักดันโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคมนั้นก็จะเดินหน้าตามแผน แม้ว่ารัฐบาลจะมีเวลาทำงานเพียง 4 เดือน ส่วนโครงการสำคัญที่จะเรงผลัดกันในระยะเวลา 4 เดือน ได้แก่ โครงการที่จะเร่งผลักดันเข้า ครม. ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่เฟส 2 จำนวน 3 เส้นทาง นอกจานี้ยังมีโครงการที่ผ่านการอนุมัติจาก ครม.ที่ผ่านมา และจะเร่งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเปิดประมูล ได้แก่ โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต – มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มูลค่า 6,251.80  ล้านบาท และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงศิริราช – ตลิ่งชัน – ศาลายา มูลค่า 15,176 ล้านบาทและโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกระทู้ -ป่าตอง (ระยะที่ 1) มูลค่า 16,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามตนมีสิ่งที่ต้องขอความกรุณาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ คือ เวลาตนลงพื้นที่ไปตรวจราชการในต่างจังหวัด ไม่ต้องมีคนตามไปเยอะๆ ขอให้มีเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบเท่านั้น  แม้แต่ปลัดกระทรวงคมนาคมที่มีภารกิจมากก็ไม่จำเป็นต้องติดตามตนตลอดเวลา ขอให้ทุกคนใช้เวลา 4 เดือนอย่างเต็มความสามารถ ไม่อยากให้คนไทยตั้งคำถามว่ายกโขยงกันมาทำไม สิ้นเปลืองงบประมาณ จึงขอฝากปลัดกำชับทุกหน่วยงานด้วย อย่างไรก็ตมวันนี้ถือเป็นวันแรกที่ตนก้าวเข้าสู่กระทรวงคมนาคม สิ่งที่อยากขอคือ หัวใจ และ แรง จากชาวกระทรวงคมนาคมในการเดินหน้าเพื่อพัฒนาประเทศในช่วงเวลานี้ 4 เดือนนี้

ต่อข้อถามถึงนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยเฉพาะในส่วนของสายสีแดงและสายสีม่วงที่จะสิ้นสุดมาตรการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 30 ก.ย.68  และครม.เดิมได้ขยายเวลามาตรการไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย.69 แล้วนั้น นายพิพัฒน์ กล่าวว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตนจะนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุม ครม.อีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งต้องศึกษาให้รอบคอบ ว่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้หรือไม่ และขอเวลาสักระยะ ซึ่งต้องเว้นช่องว่าง 1-2 สัปดาห์ เพื่อหารือนายกฯ ปลัดกระทรวง และผู้รับผิดชอบอย่างละเอียดรอบคอบก่อน ส่วนมติ ครม.เดิมนั้น ขอไปศึกษาก่อนว่าจะสามารถยกเลิกได้หรือไม่ หรือสิ้นสุดไปเลยเพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาล และในระหว่างนี้รถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงจะต้องกลับไปใช้ราคาค่าโดยสารในอัตราเดิมตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 68

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ยืนยันว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีหาแนวทางจัดทำแพคเกจลดค่าครองชีพให้ประชาชนที่ครอบคลุมมากกว่าเดิม ทั้งรถไฟฟ้าทุกสาย รถโดยสารประจำทาง(รถเมล์) ค่าผ่านทางพิเศษ(ทางด่วน) ค่าโดยสารทางน้ำ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางแบ่งเบาภาระค่าใช้ช่ายในการเดินทางของประชาชน  คาดว่าจะประกาศความชัดเจนได้ภายใน 2 สัปดาห์หลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายเสร็จ ขณะที่ทางอากาศนั้นอาจยังไม่ได้พิจารณา โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าธรรมเยียมสนามบิน (PSC)

ต่อข้อถามว่าจะนำนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าราคาเดียว 40 บาทที่พรรคภูมิใจไทยเคยหาเสียงไว้มาดำเนินการหรือไม่ นั้น นายพิพัฒน์ กล่าว่วา นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าคงต้องเป็นภาพรวมของทุกสายทุกสี แต่เรื่องนี้ตนจะมอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมไปศึกษาว่าจุดสมดุลและคุ้มที่สุดอยู่ตรงไหน ซึ่งที่ผ่านมาแนวคิดตั๋วร่วมนั้น สร้างภาระให้รัฐต้องจ่ายชดเชยปีละเกือบ 20,000 ล้านบาทต่อปี  ซึ่งผู้ที่ได้ใช้คือคนกรุงเทพและปริมณฑล จึงอาจไม่เป็นธรรมต่อคนต่างจังหวัด จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ แต่อย่ากังวล เพราะอะไรที่เป็นเรื่องปากท้อง ค่าครองชีพ และแบ่งเบาภาระให้ประชาชนได้รัฐบาลก็พร้อมดำเนินการ

นายพิพัฒน์ กล่าวา ส่วนโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน(แลนด์บริจด์ ) ที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และผ่านมาแล้วหลายรัฐบาล มีทั้งผู้เห็นด้วยและผู้คัดค้าน แต่ก็ยืนยันจะเดินหน้าโครงการต่อไป  ส่วนประเด็นเรื่องเขากระโดง นั้น เบื้องต้นได้หารือกับผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แล้ว และมอบให้ รฟท.เป็นผู้ดำเนินคดีฟ้องร้องครอบครองเป็นรายแปลง ทั้ง 995 แปลง และยืนยันว่า ไม่ใช่ว่าการมาจากพรรคภูมิใจไทย และนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค ที่ดูแลกระทรวงมหาดไทย และกรมที่ดินจะเอื้อกัน เรื่องนี้จะทำตามกฎหมายทุกอย่าง