”พิพัฒน์“ ขับเคลื่อน ขสมก. ก้าวสู่ปีที่ 50 ด้วยรถเมล์ไฟฟ้า 1,520 คัน เริ่มทยอยใช้ ก.ย. 69

Loading

”พิพัฒน์” ขับเคลื่อน ขสมก. ก้าวสู่ปีที่ 50 ด้วยรถเมล์ไฟฟ้า 1,520 คัน ลดมลพิษ – ลดต้นทุน เริ่มทยอยใช้ ก.ย. 69 พร้อมเตรียมออกมาตรการลดค่าโดยสารระบบขนส่ง ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดพิธีเนื่องในวันคล้ายวันก่อตั้งครบรอบ 49 ปี โดยได้รับเกียรติจาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการ ขสมก. บุคลากร สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 49 ปีของ ขสมก. ถือเป็นโอกาสสำคัญในการตอกย้ำบทบาทขององค์กรที่เป็น “เสาหลักของระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล” ซึ่งทำให้ประชาชนเดินทางสะดวก ปลอดภัย และเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และย้ำเป้าหมายการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ เชื่อมต่อทุกโหมดการเดินทางแบบไร้รอยต่อ ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า เรือ และการเดินทางรูปแบบอื่น เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น

นายพิพัฒน์ เผยว่า ปัจจุบัน ขสมก. ให้บริการรถรวม 2,883 คัน แบ่งเป็น รถโดยสารธรรมดา 1,520 คัน และรถโดยสารปรับอากาศ 1,363 คัน รองรับผู้โดยสารเฉลี่ย 5–6 แสนคนต่อวัน โดยรัฐบาลสนับสนุนงบชดเชยรายได้รวม 885 ล้านบาทต่อปี เพื่อรักษาระดับค่าโดยสารและพัฒนาระบบเดินรถ

อย่างไรก็ตามในจำนวนรถโดยสารธรรมดา 1,520 คันนั้นขสมก.มีแผนเช่ารถเมล์โดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า (รถเมล์ EV) จำนวน 1,520 คัน มูลค่ารวม 15,355 ล้านบาท โดยในเฟสแรกมีแผนเช่ารถเมล์ EV เริ่มทยอยใช้รถเมล์ EV เดือนกันยายน 2569 จำนวน 500 คัน และจะรับมอบครบทั้งหมดในปี 2570 ทั้งนี้ขสมก.จะใช้รถโดยสารธรรมดาราคา 8 บาทไปจนกว่ารถ EV จะทยอยเข้ามาครบ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม และไม่เพิ่มภาระประชาชน

การใช้รถเมล์ EV จะช่วยยกระดับคุณภาพการบริการ ลดมลพิษ และสร้างมาตรฐานใหม่ของระบบรถเมล์ไทย คาดว่าจะช่วยลดมลพิษและประหยัดต้นทุนรวมกว่า 1,442 ล้านบาทต่อปี (ประมาณลดค่าเชื้อเพลิงได้ 70% และลดค่าเหมาซ่อมได้ 100%) ขณะที่รถเมล์ปรับอากาศยังใช้อยู่ จำนวน 1,363 คัน แต่เมื่ออายุการใช้งานครบ 20 ปี ขสมก.ก็จะทยอยปลดระวาง และทดแทนด้วยรถเมล์ EV ด้วยเช่นกัน

“ปัจจุบันขสมก. มีค่าน้ำมันเชื้อเพลิงต่อปี 2,090 ล้านบาท ค่าซ่อมเหมาจ่ายปีละ 1,800 ล้านบาท ค่าจ้างบุคลากร 4,400 ล้านบาท ขสมก.ประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด เฉพาะนั้นหลังจากนี้เราจะทำอย่างไรให้ขสมก. ค่อยๆ ช่วยตัวเองได้ โดยการปรับเปลี่ยนจากรถเมล์ร้อนที่มีอายุการใช้งาน 30 ปีมาใช้รถเมล์ EV ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการลดค่าใช้จ่ายของ ขสมก. ได้เป็นอย่างดี การบริการก็จะดีขึ้น” นายพิพัฒน์ กล่าว

ทั้งนี้ปัจจุบันนั้นค่าโดยสารรถเมล์ปรับอากาศจะอยู่ที่ 13 – 25 บาท ค่าโดยสารรถเมล์ธรรมดาอยู่ที่ 8 บาทตลอดสาย เมื่อมีการเปลี่ยนมาให้บริการรถเมล์ปรับอากาศ EV รัฐบาลมีแผนออกมาตรการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของระบบขนส่งทั้งหมด ซึ่งมาตรการลดค่าใช้จ่ายในการใช้บริการรถเมล์นั้นจะมีความชัดเจนภายหลังจากนายกรัฐมนตรีแถลงนโยบาย

“เมื่อขสมก.มีการปรับเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ปรับอากาศ EV กลุ่มประชาชนที่เคยใช้บริการรถเมล์ร้อนในราคา 8 บาทตลอดสายก็อาจจะลำบากที่จะต้องมาจ่ายค่าโดยสารในราคารถเมล์ปรับอากาศซึ่งมีค่าโดยสาร 13 – 25 บาท ดังนั้นรัฐบาลจะหามาตรการช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่เคยใช้บริการรถเมล์ร้อนในราคา 8 บาทตลอดสายให้สามารถใช้บริการรถเมล์ปรับอากาศ EV ในราคา 8 บาทตลอดสาย เรามีข้อมูลอยู่แล้วคนที่ขึ้นรถร้อน 8 บาทมีใครบ้าง รัฐบาลก็จะหาข้อสรุปในรายละเอียดมาตรการช่วยเหลืออีกที” นายพิพัฒน์ กล่าว

ด้านนายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. รายงานผลการดำเนินงานว่า ปัจจุบัน ขสมก. มีรถโดยสารแบ่งเป็น รถโดยสารธรรมดา 1,520 คัน และรถโดยสารปรับอากาศ 1,363 คัน รองรับผู้โดยสารเฉลี่ย 5–6 แสนคนต่อวัน พร้อมเดินหน้าจัดหารถ EV ให้แล้วเสร็จตามแผน โดยคาดว่าจะสามารถประมูลได้ภายในเดือนตุลาคม 2568 และคาดว่าจะได้รับรถเฟสแรกประมาณเดือนกันยายน 2569 พร้อมกับพัฒนาระบบบริหารเดินรถด้วยข้อมูลเรียลไทม์เพื่อลดปัญหารถขาดระยะเพิ่มความตรงต่อเวลา

นอกจากนี้ ขสมก.ได้นำเทคโนโลยีทันสมัยมาช่วยเพิ่มคุณภาพบริการ อาทิ ระบบติดตามรถ (GPS) เชื่อมต่อ แอปพลิเคชัน BMTA Bus ให้ประชาชนตรวจสอบเวลารถแบบเรียลไทม์ และระบบชำระค่าโดยสาร อิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย ทั้้งนี้พิธีครบรอบ 49 ปีของ ขสมก. จึงไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลอง แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ “ระบบรถเมล์ไทยยุคใหม่” ที่สะอาด ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะยาวได้