“รมว.พลังงาน” หนุนโครงการ CCS ดันไทย บรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

Loading

“รมว.พลังงาน” ลั่นจัดทำแผนPDP ฉบับใหม่ เสร็จใน 4 เดือน เตรียมจัดตั้งคณะกรรมการจัดทำ PDP ชุดใหม่เร็วๆนี้ มุ่งแผนบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ดันโครงการ CCS ภายใต้ความร่วมมือกระทรวงพลังงานกับญี่ปุ่น พร้อมดูแลราคาพลังงานช่วงปลายปี ตรึงดีเซลไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร แย้มค่าไฟฟ้างวดใหม่ (ม.ค.- เม.ย.2569) ตรึงราคาหรือลดลง   

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แผนการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงาน ในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ ที่จะสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการคลังที่ว่าด้วย “Quick Big Win”นั้น กระทรวงพลังงาน จะเดินหน้าผลักดันให้ก้าวไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 จากเดิมที่กำหนดเป้าหมายในปี (ค.ศ.2065) หรือเร็วนี้ 15 ปี นั้น ทางกระทรวงพลังงาน จะต้องเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) ฉบับใหม่ ที่ปรับปรุงจากแผน PDP 2018 ให้สอดรับกับสถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน และตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero ในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero คือ การส่งเสริมโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ที่จะช่วยกักเก็บคาร์บอนได้ในปริมาณมาก ซึ่งจะต้องเริ่มดำเนินให้เกิดขึ้นโดยเร็ว และปัจจุบัน กระทรวงพลังงาน ก็มีความร่วมมือกับญี่ปุ่นที่จะเข้ามาสำรวจพื้นที่นอกชายฝั่ง ใต้ทะเล ที่มีระยะห่างออกไปจากชายฝั่ง ประมาณ 200 กิโลเมตร และคาดการณ์ว่าจะมีศักยภาพในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประมาณ 7,000 ล้านตันต่อปี ใหญ่กว่า โครงการCCS นำร่อง(แหล่งอาทิตย์) ของ ปตท.สผ. ที่มีการกักเก็บได้ราว 1 ล้านตันต่อปี

โครงการCCS ที่จะบรรจุอยู่ในแผน PDP ฉบับใหม่ จะเป็นโครงการระดับประเทศ ซึ่งกระทรวงพลังงาน จะร่วมมือกับ ญี่ปุ่น ในการริเริ่มโครงการ โดยกระทรวงพลังงาน จะทำหน้าที่ระดมความคิดเห็นกับหลายหน่วยงาน ที่ต้องดูเรื่องกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งกระทรวงทรัพย์ฯ กระทรวงการคลังที่มีเรื่องภาษี โดยเบื้องต้นจะต้องเร่งนำเรือเข้ามาสำรวจพื้นที่ เพื่อประเมินศักยภาพของแหล่งว่ามีความเหมาะสมที่จะกักเก็บคาร์บอนฯ หรือไม่ ก็เป็นความร่วมมือของกระทรวงพลังงาน และญี่ปุ่นที่จะนำเรือเข้ามา ซึ่งโครงการCCS จะใช้เวลาดำเนินการเป็น 10 ปีกว่าจะเสร็จสิ้น แต่ก็ต้องเริ่มคิดและทำตั้งแต่วันนี้ เพราะCCS เป็นเรื่องใหม่ ยังไม่สามารถนำเรือเข้ามาได้ ก็ต้องไปปลดล็อกกฎเกณฑ์และกฎหมายก่อน เพื่อให้นับหนึ่งโครงการให้ได้”

อย่างไรก็ตาม การจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 จำเป็นจะต้องปรับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 50% หรือไม่นั้น ยังต้องรอให้ คณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) เป็นผู้พิจารณา ซึ่งขณะนี้ กระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างเตรียมจัดตั้ง คณะกรรมการฯชุดใหม่หลังจากประธานคณะกรรมการฯชุดเดิม ได้ลาออกไป คาดว่าจะประกาศรายชื่อได้ในเร็วๆนี้ โดยคณะกรรมการฯชุดใหม่ จะเข้าไปพิจารณาความเหมาะสมในการจัดพอร์ตสัดส่วนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในแผนPDP สอดรับกับเป้าหมาย Net Zero

“เมื่อประธานคณะกรรมการPDP ชุดเดิมลาออกไป เข้าใจว่า การจะตั้งคณะกรรมการฯชุดใหม่ จะต้องนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) พิจารณา ซึ่งการจัดประชุมกพช.นัดแรก ยังอยู่ระหว่างประสานนัดหมายวันประชุม โดยตั้งเป้าหมายการจัดทำแผนPDP ฉบับใหม่จะต้องเสร็จสิ้นภายใน 4 เดือนนี้

สำหรับนโยบายส่งเสริมโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ครอบคลุมกว่า 300 ชุมชน หรือ 15,000 ครัวเรือน ทั่วประเทศ เป็นการดำเนินการภายใต้แผนPDP ที่เดิมมีโควตาผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฯเหลืออยู่กว่า 8,000 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ทยอยเปิดโครงการไปแล้ว และยังมีโควตาเหลืออยู่ 1,500 เมกะวัตต์ ก็จะกระจายไปยังชุมชนต่างๆ ภายใต้ความร่วมมือของผู้ประกอบการกับชุมชน โดยไฟฟ้าที่ได้จะจำหน่ายให้กับชุมชนในราคาต่ำกว่าราคาไฟฟ้าทั่วไป และไฟฟ้าที่เหลือจะขายเข้าสู่ระบบส่ง โดยจะต้องกำหนดราคาที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งโครงการฯนี้ จะต้องผ่านการพิจารณาจาก กพช. และส่งมอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เป็นผู้จัดทำหลักเกณฑ์และรายละเอียดโครงการ ก่อนออกประกาศต่อไป คาดว่า จะประกาศหลักเกณฑ์ได้ภายใน 4 เดือนนี้   

ส่วนการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(บอร์ด กกพ.) ที่ยังมีปัญหาอยู่นั้น เบื้องต้น จะต้องเร่งกระบวนการจัดตั้งคณะกรรมการสรรหา คณะกรรมการ กกพ. ให้เกิดขึ้นก่อน โดยจะต้องไปดูรายละเอียดตามขั้นตอนกฎหมายที่กำหนดไว้

ขณะที่การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย(ผู้ว่าฯ กฟผ.)คนใหม่นั้น เข้าใจว่า คณะกรรมการสรรหา ได้พิจารณาเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว และอยู่ในขั้นตอนเตรียมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาอนุมัติของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ต่อไป

นายอรรถพล กล่าวอีกว่า การประกาศปรับลดการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในวันนี้ สำหรับน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลในวันที่ 4 ต.ค.2568 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ลดลง 50 สตางค์ต่อลิตร และทางผู้ค้าน้ำมันยังได้ปรับลดราคาเบนซิน ลง 50 สตางค์ต่อลิตรในวันที่ 4 ต.ค.2568 นั้น เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการดูลดภาระค่าพลังงานในกับประชาชน โดยในส่วนของดีเซล จะยังคงตรึงราคาขายปลีกไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร รรวมถึงราคาก๊าซหุงต้ม(LPG) ถึง 15 กิโลกรัม จะยังตรึงราคาอยู่ที่ 423 บาท ส่วนอัตราค่าไฟฟ้า งวดใหม่ (ม.ค.-เม.ย. 2569) เบื้องต้น กำหนดนโยบายให้บริหารจัดการราคา ให้อยู่ที่ในระดับปัจจุบัน คือ 3.94 บาทต่อหน่วย หรือ หากสามารถบริหารจัดการให้ราคาลดลงได้ก็จะรีบดำเนินการ