“พิพัฒน์” เร่ง สนข. เดินหน้าแลนด์บริจด์ – วางแนวทางตั๋วร่วมใช้บัตรใบเดียว เดินทางทุกระบบ ให้เห็นผลใน 4 เดือน
วันนี้ 9 (ต.ค.2568) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนา สนข.ครบรอบ 23 ปี โดยมีนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคม หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด และอดีตผู้บริหาร สนข. เข้าร่วมที่ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับว่าในระยะเวลา 4 เดือนช่วงเวลาสั้นๆ นี้อะไรรัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วนได้ก็จะทำทันที โดยในส่วนของกระทรวงคมนาคมก็ต้องพยายามทำให้เห็นผลใน 4 เดือน ซึ่งบางอย่างอาจไม่สามารถเสร็จทัน โดยแฉพาะการวางโครงสร้างพื้นฐาน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเสร็จ แต่จะมีการริเริ่ม และสรุปให้ได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
โดยในส่วนของ สนข . ได้ มอบนโยบายเร่งด่วนใน 5 ด้าน ที่ต้องดำเนินการให้เห็นผลใน 4 เดือน ดังนี้ 1. เร่งดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 69 และจัดซื้อจัดจ้างให้ได้มากที่สุดใน 4 เดือน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล
2. การผลักดันร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้(พ.ร.บ.SEC) ให้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยเร็ว เพื่อสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในภูมิภาค
3.การเดินหน้าโครงการ Landbridge เชื่อมโยงอ่าวไทย–อันดามัน เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์แห่งอนาคต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ SEC เพราะการจะพัฒนา SEC หากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จะเชื่อมโยง 2 ฝั่งทะเลอันดามันที่ติดกับมหาสมุทรอินเดีย และฝั่งอ่าวไทยที่ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก คิดว่าเสน่ห์ของ SEC ก็จะหายไปเพราะไม่มีจุดน่าสนใจ แต่หากมีการทำท่าเรือทั้ง 2 ฝั่งทะเลก็จะเป็นการเชื่อมมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน โดยมีระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร(กม.) ที่จะมีระบบถนน ระบบราง และระบบท่อ ซึ่งเป็นการขนส่งน้ำมันดิบและแก๊ส ซึ่งขณะนี้การสัญจรผ่านช่องแคบมะละกาค่อนข้างแออัด
ดังนั้น เมื่อสร้างแลนด์บริดจ์จะช่วยลดระยะเวลาได้เกือบประมาณ 5 วัน ขณะที่ระบบถนนและรางก็จะช่วยขนส่งสินค้าผ่านตู้คอนเทนเนอร์จากทั้ง 2 ฝั่งทะเลไปถึงกันได้ ถือว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยที่จะเป็นการสร้างอาชีพบริเวณ 2 ฝั่งท่าเรือ เพราะการที่เรือจอดกลางทะเลต้องมีซัพพลายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้มีการสร้างอาชีพเกิดขึ้นกว่า 2.8 แสนตำแหน่ง ถือเป็นส่วนสำคัญของแลนด์บริจด์ ทั้งนี้ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินโครงการที่อาจจะเป็นการเจาะอุโมง เพื่อลดการทำลายป่า และรักษาระบบนิเวศน์มากสุด
ส่วน ร่าง พ.ร.บ. SEC นั้นอยู่ระหว่างการสรุปเตรียมเสนอที่ประชุม ครม.โดยเร็ว เพื่อให้ทันพิจารณาในการประชุมสภาฯที่จะเปิดในวันที่ 12 ธ.ค.นี้

4.การพัฒนาระบบตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วม (Common Ticketing System) เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ตั๋วเดียวเดินทางได้ทุกระบบขนส่ง ซึ่งเป็นการรวมโครงข่ายการเดินทางทั้งระบบรางและรถเมล์ เป็นโครงการเดียวกันที่สามารถใช้บัตรใบเดียวในการเดินทาง โดยไม่มีค่าแรกเข้าในการเชื่อมต่อเข้าระบบ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ไปในตัว ทั้งนี้ปัจจุบันมีผู้ใช้ระบบรถเมล์ประมาณ 6 แสนคนต่อวัน และระบบรางเกือบ 2 ล้านคนต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ใน 4 เดือนนี้ อาจจะยังไม่สามารถใช้ระบบตั๋วร่วมได้ แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาและหารือกับผู้เกี่ยวข้องทั้ง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และBTS และเอกชนผู้เดินรถเมล์ เพื่อให้ได้ข้อสรุป ซึ่งน่าจะเห็นความชัดเจนอย่างแน่นอน และเชื่อว่าสิ่งที่ทำได้จะสามารถเดินหน้าได้ทันทีในรัฐบาลหน้าไม่ต้องมาเริ่มทำใหม่
5.การบริหารจัดการจราจรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าและช่วงเทศกาลเดินทางเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกของประชาชน
นายพิพัฒน์ ยังกล่าวถึงมาตรการรถไฟฟ้า20 บาทตลอดสายสำหรับสายสีแดงและสายสีม่วงที่จะสิ้นสุดมาตรการในวันที่ 30 พ.ย.68 ว่า เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล เพราะคณะกรรมการกระทรวงคมนาคมและคณะกรรมการกระทรวงการคลังจะเร่งประชุมเพื่อหาแนวทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะขยายเวลามาตรการดังกล่าวออกไป แต่จะเป็นรูปแบบไหนจะมีการนำเสนอ ครม.ภายในวันที่ 15 พ.ย.นี้ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง

ด้าน นายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ รองผู้อำนวยการ สนข. รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสนข. กล่าวว่า สนข. จะดำเนินการตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายอย่างเร่งรัด โดยมุ่งวางรากฐานระบบคมนาคมขนส่งของประเทศในอนาคตให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของรัฐบาล โดยเฉพาะการผลักดันโครงการ Landbridge ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ควบคู่กับการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายท่าอากาศยานชุมพรและระนอง เพื่อรองรับการเดินทางและการขนส่งสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงการพัฒนาแผนเชื่อมต่อระบบขนส่งทุกโหมด ทั้งล้อ ราง และเรือ ให้เป็นระบบไร้รอยต่อ (Seamless Mobility) เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ สนข. ยังให้ความสำคัญกับการศึกษาระบบโลจิสติกส์ทางรางและทางน้ำ เพื่อช่วยลดต้นทุนขนส่งในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขีดความสามารถในการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลด้านคมนาคม เพื่อวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน