ปี 2568 เป็นปีที่ราคาน้ำมันค่อนข้างมีเสถียรภาพ ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงระดับราคา 60-77 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบ WIT อยู่ที่ระดับ 77 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล ในเดือนมกราคม 2568 และปรับลดลงเรื่อย ๆ มาอยู่ที่ 62 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลในเดือนเมษายน และเคลื่อนไหวอยู่ระดับ 58-62 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลในช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม หลังจากนั้นปรับตัวสูงขึ้นมาที่ระดับ 75 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลในช่วงกลางเดือนมิถุนายน หลังจากนั้นราคาค่อย ๆ อ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 60 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลในช่วงต้นเดือนตุลาคม
จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมัน ตลอดปี 2568 ฐานะกองทุนน้ำมัน ณ 5 มค. 2568 กองทุนน้ำมัน ติดลบ 75,945 ล้านบาท แยกเป็นน้ำมันติดลบ 29,009 ล้านบาท LPG ติดลบ 46,936 ล้านบาท มีเงินไหลเข้ากองทุนฯ ตลอดทั้งปีประมาณเดือนละ 6,000-7,200 ล้านบาท จนทำให้ ณ สิ้นเดือนกันยายนกองทุนฯ ติดลบ 17,838 ล้านบาท แยกเป็นกองทุนน้ำมันเป็นบวก 24,429 ล้านบาท LPG ยังคงติดลบอยู่ 42,267 ล้านบาท หากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกและปัจจัยต่าง ๆ ยังคงอยู่ในระดับนี้ คาดว่าฐานะเงินกองทุนฯ จะเป็นบวกในช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี 2568
ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ ปี 2568
หน่วย : ล้านบาท
น้ำมัน LPG รวม
5 ม.ค. 68 -29,009 -46,936 -75,945
6 เมย. 68 -10,855 -45,797 -56,652
6 ก.ค. 68 11,274 -44,130 -32,856
28 ก.ย. 68 24,429 -42,267 -17,838
ที่มา : สกนช.

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้เชียวชาญด้านพลังงาน ระบุ ในปี 2569 คาดว่าราคาน้ำมันจะอ่อนตัวลงจากปีนี้เล็กน้อย เนื่องจากมีอุปทานส่วนเกินจากกลุ่มโอเปคพลัส ในขณะที่ความต้องการจะไม่สูงนัก คาดว่าราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 60-65 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล การบริหารกองทุนน้ำมันฯ จะมีความคล่องตัว คาดว่าฐานะกองทุนน้ำมันฯ จะเป็นบวกในเดือนปลายเดือนธันวาคม 2568 หลังจากนั้นคงลดราคาน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซลลงได้ 0.5-1.0 บาท/ลิตร ส่วน LPG นั้นจะสามารถตรึงราคาขายปลีกไว้ที่ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัมไว้ได้และเกิบเงินเข้ากองทุนฯ ใช้หนี้ที่มีอยู่ 42,267 ล้านบาทได้จำนวนหนึ่ง
ปลายปี 2568 น่าจะเป็นปีที่ฐานะเงินกองทุนน้ำมันฯ เป็นบวก การบริหารงานจะสะดวกคล่องตัว การชำระหนี้เงินกู้สถาบันการเงินได้เร็วกว่ากำหนดในปี 2571 และตาม พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 มาตรา 55กำหนดไว้ว่า ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2569 เป็นต้นไป ไม่สามารถใช้เงินกองทุนฯ อุดหนุน เพื่อสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพได้ การส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพต้องใช้ระบบภาษีสรรพสามิตที่เก็บตามการปล่อยก๊าซคาร์บอกไดออกไซด์ กล่าวคือ น้ำมันที่มีส่วนผสมเชื้อเพลิงชีวภาพมากจะถูกเก็บภาษีน้อยกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมเชื้อเพลิงชีวภาพมากกว่า ทำให้ราคาถูกกว่า
ในช่วงไตรมาสที่สี่ปี 2568 (ตค. – ธค.) ทางสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ยังคงมีงานที่ต้องเร่งดำเนินการ อันดับแรกคือ การแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ผอ.สกนช.) ซึ่งคณะกรรมการสรรหาได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงการนำเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมัน (กบน.) ให้ความเห็นชอบเท่านั้น หลังจากได้ ผอ.สกนช. คนใหม่แล้ว มีงานเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ คือ การจัดทำแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามมาตรา 14 แห่ง พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป
นอกจากนี้ ผอ.สกนช. คนใหม่จะต้องเตรียมสรรหาบุคลากรบรรจุใหม่ตามกรอบอัตรากำลังที่ได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลาง พร้อมๆ กับการอบรมเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านน้ำมัน ให้แก่พนักงานใหม่ทั้งหมด เพราะว่าตั้งแต่การจัดตั้ง สกนช. มาตั้งแต่ปลายปี 2562 ยังไม่มีการเพิ่มอัตรากำลังและการอบรมสร้างองค์ความรู้ให้แก่พนักงานอย่างจริงจัง เพื่อรองรับกับงานที่จะเข้ามาในปี 2569 เช่น การส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพจะทำอย่างไร เมื่อหลังวันที่ 24 กันยายน 2569 ไปแล้ว ไม่สามารถใช้เงินกองทุนฯ มาอุดหนุนเพื่อส่งเสริมให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลได้ และงานใช้หนี้กองทุนฯ ให้แก่สถาบันการเงินที่ได้ไปกู้มาตั้งแต่ปี 2565-66
โดยจะต้องใช้หนี้ที่เหลืออีก 32,638 ล้านบาท ให้หมดภายในปี 2571 ในขณะเดียวกันจะต้องบริหารกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาน้ำมันมีเสถียรภาพอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม ไม่กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนให้มากจนเกินไป โดยต้องสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ตลอดจนการบริหารจัดการในทุกมิติของกองทุนน้ำมันฯ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด